วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การะเกด - โทรมา...ในฐานะอะไร

การะเกด - โทรมา...ในฐานะอะไร ♪
การะเกด - โทรมา ใน...

บ่ฮู้จริงใจ รึว่ามืออ้ายซน
กดเล่นกดโดน เบอร์ของคนที่ใจอ่อนแอ
หมั่นโทรมาหา มาหยอดคำว่าประมาณ Take Care
เอาจุดอ่อนน้องมารังแก มันทุกข์ใจแท้เมื่ออ้ายโทรหา

บางครั้งโทรน้อย ว่าอ้ายคืดฮอดคือเก่า
บางครั้งโทรยาว คุยว่าเหงาขอคำปรึษา
ดอกรักเบิกบาน ระหว่างเรานั้นไม่อยากค้างคา
บ่เคยบอกรักเลยหนา ถามหน่อยอ้ายจ๊าอ้ายคิดหยัง

*อ้ายโทรมาในฐานะอะไร อ้ายฮักรึอยากระบาย
ถ้าหากจริงใจ น้องก็อยากขอฟัง
จะอยู่ตรงแฟน รึเป็นแค่เพื่อน ตรงไหนที่หวัง
โทรมา โทรมา โทรจัง พูดดังดังสิฐานะอะไร

**กลัวช้ำกล่ำกลืน ถ้ารักไม่มีวีแวว
จะได้เปลี่ยนแนว ไม่ให้โทรแซวแค่เล่นเล่นไป
อยากคิดโทรคุย แค่ตอนไม่รู้จะโทรหาใคร
หากว่าน้องต้องน้ำตาไหล แล้วใครเล่าใครจะซับน้ำตา

(*,**)

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บั้งไฟล้าน พี สะเดิด


บั้งไฟล้าน - พีสะเดิด�

‘เฉลิม’ประกาศชัยชนะศรีสะเกษ-ชทพ.ยอมรับพ่ายแพ้

เวลา 18.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษเขต 1 ล่าสุด เป็นคะแนนอย่างไม่เป็นทางการว่า ว่า นายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทยได้ 123,557 คะแนน ทิ้งห่างนางสกุลทิพย์ อังคสกุลเกียรติ หมายเลข 2 พรรคชาติไทยพัฒนา ที่ได้ 75,420 คะแนน กว่า 4.8 หมื่นคะแนน ทำให้นายสุรชาติ ได้เป็นว่าที่ ส.ส.ศรีสะเกษ เขตเลือกตั้งที่ 1
โดยก่อนหน้านี้ เวลา 17.30 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงที่ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ว่า ทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการแล้ว พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าประชาชนชาวศรีสะเกษและประชาชนชาวอีสานยังคงรักและศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาบริหารให้ประเทศ นอกจากนี้ชัยชนะยังมาจากปัจจัยที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ศรีสะเกษ ทำงานให้กับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง และการชนะเลือกตั้งซ่อมทั้ง 2 จังหวัด คือ จ.สกลนคร และจ.ศรีสะเกษ จะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านศูนย์อำนวยการเลือกตั้งพรรคชาติไทยพัฒนา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมด้วยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีตส.ส.พรรคชาติไทย และนางสกุลทิพย์ ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยอมรับในการตัดสินใจของประชาชนชาวศรีสะเกษที่เลือกให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทยเป็นส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 แต่อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ใช้วิธีการที่แปลกและสร้างความเสื่อม เสียให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นอย่างมาก มีการนำเอาใบปลิวและรูปภาพต่างๆ มากล่าวหาโจมตีอย่างไม่มีเหตุผล

พบพืชผักเป็นยาโป๊ขนานธรรมชาติ กะหล่ำปลีคือยาไวอากร้า


นักวิทยาศาสตร์โภชนาการโครเอเชียเผยคณะสมบัติกะหล่ำปลีดองเป็นยาแก้หย่อน สมรรถภาพทางเพศได้ดีเยี่ยม ชี้เพียงชายหนุ่มกินวันละ 2 มื้อ จะเห็นผลได้ด้วยตัวเอง...
นักวิทยาศาสตร์โภชนาการโครเอเชียบอกข่าวดี แก่บุรุษเพศทั้งหลายว่า ไม่ต้องไปซื้อหยูกยาบำรุงพลังเพศให้เสียเงิน ให้กินกะหล่ำปลีนี่แหละ เป็นการเพิ่มพูนพลังเพศตามแบบธรรมชาติ
หนังสือ พิมพ์รายวัน"เดลี่ เอกซ์เพรสส์" ของอังกฤษ แจ้งว่า ดร.เลจลา เกรโฮ ได้ประกาศว่ากะหล่ำปลีดองมีสรรพคุณไม่แพ้ยาแก้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่ เป็นที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบัน
เขาได้ประจักษ์สรรพคุณของมัน ในการศึกษาเพื่อจะหายาบำรุงพลังเพศขนานเอก ที่มหาวิทยาลัย คิงส์ คอลเลจ ของกรุงลอนดอน ต่อหน้าเพื่อนนักวิทยาศาสตร์คนอื่น
หนังสือพิมพ์ราย วัน "ออสเตรีย ไทมส์" ของออสเตรีย รายงานว่า "การหาความรู้ที่มหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ แสดงให้เห็นว่ากะหล่ำปลีดองเป็นยาไวอากร้าธรรมชาติขนานเยี่ยม แทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะกลายเป็นยาโป๊ตำรับเอก
ตัว ดร.เลจลาได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์รายวันโครเอเชีย กล่าวแนะนำว่า "อยากให้ผู้ชายทุกคนลองดู กินกะหล่ำปลีวันละ 2 มื้อ ก็จะเห็นผลได้ด้วยตัวเอง".

อัดคลังห้ามเบิกจ่ายสมุนไพรนอกยาหลัก

แฉ รองปลัดฯคลัง ส่งเป็นหนังสือเวียนถึงหน่วยงานราชการ ระบุว่า การเบิกจ่ายค่ายาสมุนไพรที่อยู่นอกรายการบัญชียาหลักแห่งชาติถือว่าเป็นการ ผิดระเบียบตามที่กฎหมายกำหนด ชี้เงื่อนงำอคติเอื้อยาแผนปัจจุบัน จี้ สธ.เบรก-ร้องนายกฯ เคลียร์...

ที่กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายส่งเสริมการใช้ยาจากสมุนไพรแห่งประเทศไทย แถลงข่าวคัดค้านแนวทางการปฏิบัติที่กระทรวงการคลังห้ามไม่ให้ ข้าราชการเบิกจ่ายการนวดบำบัดและยาสมุนไพรนอกบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยนายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ออกแนวทางการปฏิบัติและซ้อมความเข้าใจในการเบิกจ่ายเงิน สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลงนามโดยนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รองปลัดกระทรวงการคลัง ส่งเป็นหนังสือเวียนถึงหน่วยงานราชการ โดยระบุว่า การเบิกจ่ายค่ายาสมุนไพรที่อยู่นอกรายการบัญชียาหลักแห่งชาติถือว่าเป็นการ ผิดระเบียบตามที่กฎหมายกำหนด และห้ามเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าวและห้ามสถานพยาบาลออกหนังสือรับรองกรณีใช้ ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป แนวปฏิบัตินี้ทำให้ ไม่สามารถเบิกจ่ายยาสมุนไพรนอกบัญชียาหลักแห่งชาติได้ เป็นการเอื้อยาแผนปัจจุบัน เท่ากับมีเงื่อนงำหรืออคติกับยาสมุนไพร กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ควรทำหนังสือไปยังกระทรวงการคลังเพื่อทัดทานหรือชะลอการบังคับใช้แนวทาง ปฏิบัติออกไป รวมทั้งเครือข่ายฯ จะส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับนายกรัฐมนตรีและกำลังหารือว่าจะฟ้องศาลปกครองหรือ ไม่

ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เครือข่ายฯมีข้อเสนอ 4 ข้อ คือ 1.ในระหว่างที่ยังไม่มีเภสัชตำรับโรงพยาบาลด้านยาจากสมุนไพร ต้องยกเลิกหรือเลื่อนการใช้แนวทางปฏิบัตินี้ออกไป 2.ให้มีการประกาศใช้ข้อกำหนดกับยาแผนปัจจุบันและยาจากสมุนไพร โดยใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติและเภสัชตำรับโรงพยาบาลของยาทั้ง 2 แผน อย่างเท่าเทียมกัน 3.นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เพื่อตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาจากสมุนไพรจัดทำเภสัชตำรับโรงพยาบาลด้าน ยาจากสมุนไพรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ 4.ให้นายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารงานของ รมว.การคลัง และ รมว.สาธารณสุข ให้ส่งเสริมและพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทย ไม่ใช่ทำลายภูมิปัญญาไทย.

ทีมข่าวการศึกษา
ไทยรัฐออนไลน์

เปิดตัว"ไถง ปราศจากศัตรู" บช.ท.ไม่ทำเรื่องเล็กๆเสริมงานลดความขัดแย้ง


"กองบัญชาการสอบสวนกลางเป็นหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพมาก ไม่มีนโยบาย ที่จะใช้ประสิทธิภาพที่มีสูงของหน่วยไปใช้ ทำในสิ่งที่เป็นเรื่องเล็ก ไปทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่ชอบขัดแย้งในการทำงานกับ หน่วยงานอื่น"
เป็นความตั้งใจของ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. ผู้ที่ได้เข้ามารับผิดชอบหน่วยสนับสนุนหลักที่มีชื่อเสียงและมีประสิทธิภาพ มากที่สุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นโยบายที่ให้ไว้ทุกหน่วยต้องทำในเรื่องที่คนส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อน เป็นเรื่องใหญ่ที่ตำรวจภูธรมองว่าเป็นเรื่องยาก ทุกคนต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของหน่วย มีหน้าที่สนับสนุนงานตำรวจภูธร คดีเล็กในพื้นที่ตำรวจ ภูธรทำได้สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว มีบางเรื่องเท่านั้น ที่ตำรวจภูธรมีความรู้สึกว่าเกินกำลัง ต้องใช้ เครื่องมือ ความเชี่ยวชาญพิเศษ คดีที่มีอิทธิพล คดีหมิ่นสถาบัน ต้องประสานหน่วยงานต่างประเทศ เป็นหน้าที่ที่ต้องอาสารับมาทำเพื่อให้ขยายผลต่อไปให้ได้ ไม่ใช่เข้าไปทำให้เกิดปัญหากับตำรวจพื้นที่และต้องขยันมากขึ้น
ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งไม่กี่เดือนของ พล.ต.ท.ไถงได้เปิดโอกาสให้ทุกหน่วยใน บช.ก. ได้ช่วยกันสร้างผลงาน สืบสวน สอบสวน ปราบ-ปรามตามนโยบายของรัฐบาลและนโยบาย ผบ.ตร.

แต่ละคดีต้องถือว่าสมศักดิ์ศรีของหน่วยงาน ได้ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน
จากแนวนโยบายที่ชัดเจนในการทำหน้าที่ เป็นผู้สนับสนุนตำรวจภูธรเจ้าของพื้นที่
อาศัย ประสบการณ์จริงในชีวิตตำรวจ ภูธรของ พล.ต.ท.ไถง นรต.รุ่นที่ 27 เพื่อนสนิทร่วมรุ่น บิ๊กวุฒิ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการ ป.ป.ส.
พล.ต.ท.ไถง รับราชการครั้งแรกที่ ผบ.หมวด กก.ตชด.เขต 4 (จ.อุดรธานี) รอง สว.ผ.1กก.4บก.ป. สว.กำลังพล กก.อก.ตำรวจภูธร 8 (จ.พิษณุโลก) สว.ปกครองป้องกัน สภ.อ.เมืองแพร่ สารวัตรใหญ่ สภ.อ.สอง จ.แพร่ สารวัตรใหญ่ สภ.อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ รอง ผกก.ตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก ผกก.ตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ ผกก.รองหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดแพร่ รอง ผบก.ตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก ผบก.ภ.จ.น่าน ผู้ช่วย จเรตำรวจ รองจเรตำรวจ (สบ7) รอง ผบช.ภ.8 รอง ผบช.ภ.6 จเรตำรวจ (สบ8) และ ผบช.ก.

ชีวิตรับราชการของ พล.ต.ท.ไถง ส่วนใหญ่ เติบโตในส่วนของตำรวจภูธรในพื้นที่ภาคเหนือ
เป็นตำรวจที่เชี่ยวชาญคิดหาแนวร่วมมวลชนสัมพันธ์มาช่วยในการป้องกันปราบ- ปรามอาชญากรรม
บุคลิกที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมาและเชื่อมั่นการประสานงานใช้เป็นหลักในการทำงาน
ความที่ไม่ชอบขัดแย้งเรื่องงาน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไหน พล.ต.ท.ไถงไม่เคยมีปัญหากับใคร แต่หากย้อนประวัติช่วงรับราชการชื่อชั้น พล.ต.ท.ไถงไม่ใช่ธรรมดา สมัยเป็นสารวัตรใหญ่ สภ.อ.สอง จ.แพร่ ได้เข้าร่วมชุดสืบสวนจับกุมแก๊งปล้นน้ำมันหัวจักรรถไฟที่วิ่งผ่านเส้นทาง อ.สอง จ.แพร่

ซึ่งคดีนี้ พล.ต.ท.ไถงได้รับความไว้วางใจตั้งเป็นชุดเฉพาะกิจสืบสวนหาข่าวนอกพื้นที่จน ได้เบาะแสจากคนในพื้นที่เป็นที่มาของการปิดคดีสำคัญที่เป็นปัญหาอย่างมากใน ช่วงนั้น
เมื่อต้องมารับตำแหน่ง ผบช.ก. ได้ ผลักดันการขับเคลื่อนคดีสำคัญนับไม่ถ้วน คดีที่ชุดสืบสวน กก.1บก.บก.ป. จับกุมนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช รองผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผู้ต้องหาคดีฉ้อ โกงเงินธนาคาร 499 ล้านบาท คดีฆ่ายก ครอบครัวนางกนกกาญจน์ โพธิ์ทอง 5 ศพ ในพื้นที่ สน.ลาดพร้าว ที่ชุดสืบสวน กก. 1 บก.ป. ใช้เทคนิคสืบสวนจับกุมผู้ต้องหา
การทลายโต๊ะพนันบอลเครือข่ายใหญ่ อาบูบาก้า ที่ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ผบก.ป. ต้องลงมาควบคุมคดีนี้ด้วยตัวเอง ต้องถือว่าเป็นรูปแบบคดีที่เป็นตัวอย่างของหน่วยงานกองปราบปราม
การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ บก.ปทศ. การจับกุมยาเสพติดของตำรวจรถไฟ ตำรวจทางหลวง การจับกุมกลุ่มทำลายทรัพยากรธรรมชาติของตำรวจป่าไม้และการจับกุมเครือข่าย แก๊งข้ามชาติที่ ปลอมแปลงบัตรเครดิตของ บก.ทท.
เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ได้เห็นผลงานที่ทำ ได้สมชื่อชั้นของหน่วยงาน

พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก ได้เปิดใจ เกี่ยวกับนโยบายขับเคลื่อนหน่วยงาน บช.ก. ว่า

"ได้กำชับหน่วยงาน บก.ปดส.ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการยุติความรุนแรงของเด็กและสตรี ซึ่งพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า
พัชร กิติยาภา องค์ทูตสันถวไมตรี ยูนิเฟม ได้ทรงมีรับสั่งฯและทรงห่วงใย เป็นเรื่องใหม่ที่ต้องช่วยกันทำให้ประชาชนได้มีความสนใจมากที่สุด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้ งบประมาณ บช.ก.จัดทำเรื่องข้อกฎหมายและอีกเรื่องที่สำคัญต้องทำคือ การป้องกันปราบปรามทรัพยากรป่าไม้ แหล่งต้นน้ำลำธาร การบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ และเป็นนโยบายสำคัญที่ต่อเนื่องของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร."

พล.ต.ท.ไถงลำดับแนวคิดและนโยบายสำคัญของหน่วยงาน บช.ก.

นโยบาย การทำงานยึดหลัก 3 เรื่อง คือประสิทธิภาพ ชอบ ธรรมและโปร่งใส ต้องทำตามกฎหมายและกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่มีวิธีพิเศษในการสืบสวนคดี ไม่ใช้การอุ้มรีดเพื่อปิดคดี คดีไหนที่ทำเต็มที่แล้วจับไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของเรา จะเห็นว่า ในช่วงที่รับตำแหน่ง 3-4 เดือน ไม่ได้มีคดีพิเศษ สิ่งที่ต้องเพิ่มขึ้นมาคือประสิทธิภาพงานสืบสวนสอบสวนจะไม่ให้มีการแย่งผล งานและเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่น

พล.ต.ท.ไถงได้อาศัยช่วงชีวิตทำงานในพื้นที่ภูธรมาเป็นเครื่องแสวงหาความร่วมมือของตำรวจพื้นที่

ได้ นำประสบการณ์ทำงานในตำรวจภูธร กว่า 30 ปี ที่ทำงานกับหน่วยงานปฏิบัติการ สะท้อนปัญหาที่เคยเกิดขึ้นให้กับหน่วยงานสนับสนุนอย่าง บช.ก. เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ จะทำให้งานของ บช.ก.และตำรวจภูธรทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น เพราะสมัยที่อยู่ตำรวจภูธรมีพื้นที่รับผิดชอบแคบมาก เมื่อเทียบกับหน่วยงานสอบสวนกลางที่มีหน่วยงานอยู่ทั่วประเทศ

แต่ สิ่งที่จะทำต้องเป็นเรื่องใหญ่ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อน ขณะนี้มีนโยบายสำคัญที่ได้กำชับจาก นายสุเทพ เทือก-สุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในเรื่องเงินกู้นอกระบบที่มีการเก็บดอกเบี้ยเกินจริง มีการใช้ความรุนแรงเข้ามาติดตามทวงหนี้ เป็นนโยบายที่ต้องเร่งทำ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเงินกู้ นอกระบบ การเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรงข่มขู่ทำร้ายร่างกาย ให้ส่งข้อมูลเข้ามาที่ ตู้ ปณ.5 รองเมือง ปทุมวัน กทม. 10330

เป็นแนวคิดของผู้บริหารหน่วยที่ อาศัยประสบการณ์และปัญหาของทั้งสองหน่วยงานทั้งตำรวจภูธรและ บช.ก.มาเป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายปรับวิธีการทำงานให้เกิดความร่วมมือ ลดความขัดแย้ง

เป็นจุดเด่นของ พล.ต.ท.ไถง ตลอดชีวิตที่รับราชการ 35 ปี ได้ยึดมั่นในเรื่องของมวลชนสัมพันธ์ การประสานงานในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง การทำงาน

เป็นเรื่องที่น่าสนใจนโยบายของนายตำรวจระดับ ผบช. ยุคที่ต้องการความสมานฉันท์ ในบ้านเมือง

แม้ชื่อไม่ค่อยคุ้นในแวดวงนักสืบมือปราบ แต่ชื่อชั้นนักเลงไม่ได้น้อยไปกว่าอดีต ผบช.ก.คนอื่น

เหลือแต่การพิสูจน์ผลงานที่ขับเคลื่อน ออกมาเท่านั้น...

ผู้นำฮอนดูรัสแฉ ทหารยึดอำนาจ บังคับพ้นประเทศ


มานูเอล เซลายา ประธานาธิบดีฮอนดูรัส ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางถึงกรุงซันโฮเซ ประเทศคอสตาริกา ว่า ถูกทหารที่ก่อการยึดอำนาจลักพาตัวและผลักดันให้เดินทางออกนอกประเทศ "โอบามา" กังวล แนะยึดหลักประชาธิปไตย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันนี้ (29 มิ.ย.) อ้างนายมานูเอล เซลายา ประธานาธิบดีฮอนดูรัส ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางถึงกรุงซันโฮเซ ประเทศคอสตาริกา ว่า เขาถูกทหารที่ก่อการยึดอำนาจลักพาตัวและผลักดันให้เดินทางออกนอกประเทศ

ผู้ นำฮอนดูรัสได้รับบาดเจ็บหลังถูกทหารบุกเข้าควบคุมตัวที่ทำเนียบ ประธานาธิบดีในกรุงเตกูซิกัลปา กล่าวว่า ตนเองไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งตามที่รัฐสภาฮอนดูรัสอ้าง ยืนยันว่าตนเองยังคงเป็นประธานาธิบดีอยู่ พร้อมกับเรียกร้องให้ประชาชนออกมาประท้วงอย่างสงบ เพื่อต่อต้านการยึดอำนาจของกองทัพในครั้งนี้

รายงานระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนหน้าที่การลงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันอาทิตย์ โดยประธานาธิบดีฮอนดูรัส ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เขาสามารถลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกสมัย หลังจากที่จะต้องพ้นจากตำแหน่งตามวาระในปีหน้า

ด้าน นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในฮอนดูรัส และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดหลักประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหา

ผู้เชี่ยวชาญแนะกลเม็ดพิชิตโรคหัวใจพบใน"ผู้ชาย"มากกว่า "ผู้หญิง" 4 เท่า

วงการแพทย์ไทยกำลัง 'วิตก' ต่ออันตรายที่มาจาก วิถีบริโภคที่เปลี่ยนไป และที่น่าตกใจมากยิ่งกว่าก็คือ ทุกวันนี้ โรคนี้ เกิดกับ 'ผู้ชาย' โดยเฉพาะวัยทำงาน มีสิทธิ์เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ที่เกิดจากหลอดเลือดแดงอุดตัน สูงกว่า 'ผู้หญิง' มากถึง 4 เท่า

ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา หน่วยโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภัยรายตัวนี้ ให้ฟังอย่างน่าสนใจ ว่า ปัจจุบันพบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเพิ่มมากขึ้นทุกปี ส่วนสาเหตุหลักมาจากการดำเนินชีวิต และการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือมักรับประทานอาหารประเภท ไขมันสูงเกินไป รวมทั้งไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทำให้ไขมันที่ได้จาก การรับประทานอาหารไปเกาะตามผนังหลอดเลือด

เมื่อนานวันจะเกิดการสะสมปริมาณไขมันที่ผนังด้านในของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเริ่มหนาตัว โดยจะเริ่มแคบและตีบตัวลง ทำให้การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจไม่สะดวก ซึ่งหากถึงภาวะที่เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ทัน อาจก่อให้เกิดหัวใจวายเฉียบพลันจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเราจึงควรรู้จักไขมันกันให้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันการเกิดโรคดังกล่าว

ศ.นพ.ปิยะมิตร เล่าว่า การศึกษาที่เก็บสถิติในเมืองไทย วัดจากปัจจัยเสี่ยงนั้น เกิดจากผลรวมของภาวะที่หลอดเลือดแดงหัวใจตีบตัน มาจาก 'ตะกรัน' อุดตัน ไปจับที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ จนเลือดผ่านไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง ทำให้วันนี้ คนไทยเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกปี

"ตัวเลขที่เราเก็บสถิติได้ จาก 64,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต เกิดจากการที่คนไทย มีวิถีบริโภคที่เปลี่ยนไป ตามไลฟ์สไตล์ ที่ชอบสูบบุหรี่ ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่มีไขมันสูง รวมถึงการที่คนไทย ไม่มีนิยมออกกำลังกาย ทำให้เกิดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น"

"โรคหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากอุดตันของหลอดเลือดแดง ขนาดหัวปากกาเท่านั้น แต่ความรุนแรงทำให้เกิดการตายแบบเฉียบพลัน และโรคนี้เป็นปัญหาการตายอันดับ 1 ของเมืองไทย"ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว

ด้าน รศ.นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ รองผู้อำนวยการสถาบันหัวใจ อาจารย์ประจำหน่วยหัวใจ คณะแพทย์ศาสตร์รามาธิบดีและเลขาธิการสมาคมแพทย์โรคหัวใจ กล่าวว่า

ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น อายุ การสูบบุหรี่ การบริโภคอาหาร และการใช้ชีวิตในสังคมเมือง และต่างจังหวัด ค้นพบว่า ผู้ชายมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น 4 เท่า มากกว่ากลุ่มผู้หญิงและผู้ชายในต่างจังหวัด เป็นมากกว่าคนในสังคมเมือง แต่ก็ประมาทไม่ได้ว่า คนในสังคมเมือง มีแนวโน้มเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นว่า โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง มีการประชาสัมพันธ์ ต่อการรักษาโรคนี้ เพิ่มขึ้น

นั่นแสดงให้เห็นว่า วงการแพทย์ไทย ต่างตระหนักถึงภัยแฝงที่มาจากการบริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี

รศ.นพ.สรณ แนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยว่า ผู้ที่ตรวจเลือดและพบว่า มีระดับไขมันในเลือดสูงมักรับประทานยา เพื่อให้ระดับไขมันในเลือดลดลง ซึ่งที่จริงแล้วการป้องกันไม่ให้ระดับไขมันในเลือดสูง สามารถทำได้โดยการควบคุมอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และควรออกกำลังให้มาก เพื่อรักษาระดับไขมันให้อยู่ในระดับปกติ จะช่วยให้การดำรงชีวิตเป็นปกติสุข ปราศจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันได้ หรือรับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย พร้อมกับทานยาลดไขมัน ประเภท HDL เข้าไป

ศิลปะการชงชาแบบจีน สุดยอดวิชาฝึกจิต สมาธิดี-เรียนดีขึ้น


นักเรียนไทยในไต้หวัน ชี้พิธีชงชาจีนเจ๋ง ช่วยฝึกจิตสร้างสมาธิในการเรียนให้ดีขึ้นได้ เผยมหาวิทยาลัยในไต้หวันจัดเป็นคอร์สเสริมนักเรียนต่างชาติ พร้อมสอนวิธีชงชาที่ถูกต้องตามหลักศิลปะจีนโบราณ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านใบชา แนะ 4 ปัจจัยเสริมชงชาจีนให้ได้รสชาติดี

ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมยิ่งเข้าสู่ความวุ่นวายมากเท่าไร คนเราก็จะเริ่มไขว่คว้าหาความสุขความสงบใกล้ตัวมากขึ้น ทำให้ยิ่งนานวันวัฒนธรรมตะวันออก ก็ยิ่งได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะศิลปะที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของจีนอย่างการชงชา ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องสุขภาพ และช่วยในการผ่อนคลายความตึงเครียดได้ดีแล้ว ในอดีตศิลปะการชงชาของจีนยังได้ชื่อว่าเป็นเครื่องมือการฝึกจิตให้คนธรรมดากลายเป็นปราชญ์เมธีอีกด้วย'

'ภาพมืดสนิท เสียงเงียบได้ยินเพียงลมหายใจ ก่อนที่ทำนองไพเราะของดนตรีแผ่วแบบนุ่มนวล หนัก เบา อ่อนหวาน เข้ากันอย่างลงตัว จากเครื่องดนตรีจีนกู๋เจิงยังคงก้องดังสายลมผ่าน รอบๆ ตัวของทุกคนในห้องชงชา กลิ่นเทียนยังแตะจมูกของฉันแผ่วปลาบ ก่อนที่เสียงทำนองดนตรีจะเปลี่ยนจากอ่อนหวาน เป็นเสียงสูงดังลมกระทบใบไม้ ความรู้สึกที่อบอุ่นของเสียงเพลงยังคงผ่านเข้ามาทำให้รู้สึกผ่อนคลาย'ความคิดในหัวเริ่มลดลง เปลี่ยนกลายสลายหายเป็นความรู้สึกที่ผ่อนลงจากความคิดมากมายของทั้งวัน'ทุกคนเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ เมื่อทำนองดนตรีหยุดลง'

บทความของน้ำฟ้า หรือ ธรรมพร เรืองศรีอรัญ ในเวป www.homeschooldd.com ทำให้ 'ผู้จัดการรายสัปดาห์ 360องศา'ติดต่อกลับน้ำฟ้า ทำให้ทราบว่าน้ำฟ้าได้รับการเรียนการสอนในระบบ homeschool มาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ โดยคุณแม่เป็นผู้จัดการเรียนการสอนเอง จนปัจจุบันนี้น้องน้ำฟ้ามีอายุ 16 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ 3 ปี คุณแม่ได้จ้างอาจารย์พิเศษมาสอนภาษาจีนน้ำฟ้า และน้ำฟ้ามีความสนใจและมีความชอบมาก จึงทำให้น้ำฟ้าตัดสินใจไปเรียนภาษาจีนที่ประเทศไต้หวัน เพราะเป็นประเทศที่ยังอนุรักษ์การเรียนการสอนภาษาจีนแบบตัวเต็ม และมีการถ่ายทอดศิลปะจีนโบราณด้วย ปัจจุบันน้ำฟ้าได้เดินทางไปเรียนภาษาจีนที่ประเทศไต้หวันเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว

ศิลปะการชงชาจีน-ฝึกสมาธิ

น้ำฟ้า กล่าวว่าปัจจุบันได้เข้าเรียนภาษาจีนที่ มหาวิทยาลัยฉือจี้ ประเทศไต้หวัน ซึ่งในการเรียนภาษาจีนนั้น จะไม่ได้เรียนวิชาภาษาจีนอย่างเดียว แต่จะมีวิชาพิเศษซึ่งจะเป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมจีนโบราณด้วย และวิชาชงชา หรือ (ch? d?o k?) ก็เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก

'วิชาชงชาเป็นวิชาที่มหาวิทยาลัยจัดให้เป็นชั่วโมงพิเศษที่สอนให้นักเรียนรู้จักวิธีสงบใจ และรู้สึกตัวทุกขณะ ซึ่งเมื่อสงบจิตใจได้ดีแล้ว ก็จะส่งเสริมให้นักเรียนสามารถไปเรียนในวิชาปกติได้ดีขึ้น'

ก่อนการเข้าเรียน อาจารย์จะมีการดีดดนตรีกู่เจิงให้นักเรียนทุกคนได้ฟังเสียงเพลง ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำใจให้สงบก่อนเข้าสู่พิธีชงชาแบบจีน โดยศิลปะการชงชาแบบจีนนั้น จะเน้นความเชื่องช้า การกำหนดจิตให้รับรู้ทุกความรู้สึก ทุกความเคลื่อนไหว จึงเป็นวิธีที่ช่วยในการทำใจให้สงบ เหมือนกับการเดินจงกรมของทางพระพุทธศาสนา ที่จะต้องกำหนดสติรู้แต่ละก้าวย่าง โดยการชงชาก็ต้องกำหนดสติรู้ในทุกขั้นตอน ถึงจะเกิดสมาธิ

ทุกขั้นตอน 'ชงชา'ใช้สติกำหนดรู้

ในขั้นตอนของการชงชานั้น จะเริ่มต้นจากการเตรียมอุปกรณ์การชงชา ซึ่งจะประกอบด้วย กาน้ำ บรรจุน้ำร้อน (ขนาดกลาง),เครื่องวัดอุณภูมิความร้อน,เตาแก๊สความร้อนขนาดเล็ก,กาน้ำชงชา (เฉพาะชงชา),เหยือกน้ำดินเผา สำหรับชงชา,ถ้วยรองน้ำทิ้ง,แก้วชา,ใบชา (ชนิดแล้วแต่ต้องการ),ช้อนตักใบชาและขนมหวาน

โดยอุณหภูมิในน้ำร้อนชงชา เป็นอันดับแรกที่ผู้ชงจะต้องให้ความสำคัญ และกำหนดสติรู้ให้ได้ว่า จะต้องรักษาอุณหภูมิให้คงที่ไว้ที่ 92 องศาเซลเซียส หากตัววัดอุณหภูมิความร้อนสูงขึ้นหรือต่ำลง ให้เติมเชื้อไฟหรือลดเชื้อเพลิงรักษาระดับความร้อนไว้ที่ 92 องศา

จากนั้นให้เปิดฝากาน้ำดินเผา ด้วยท่าวงกลม ขณะที่เปิดก็ต้องกำหนดจิตไว้ที่การเปิดฝากาน้ำชาด้วย ว่ากำลังเปิดฝากาน้ำ จากนั้นเทน้ำร้อนอุณหภูมิ 92 องศาฯ ลงในกาน้ำดินเผา คอยเฝ้าดูน้ำร้อนไหลลงสู่ถ้วยชานั้น พร้อมกับตั้งสติรับรู้ว่าน้ำร้อนกำลังไหลลงสู่ถ้วยชาช้าๆ จากนั้นปิดด้วยท่าวงกลมอ้อมเหยือกอย่างช้าๆ อีกครั้งหนึ่ง

ทิ้งไว้ 2 นาที แล้วจึงเทน้ำร้อนลงเหยือกน้ำเล็กจนหมด จากนั้นปิดฝากาน้ำด้วยท่าวงกลมอ้อมเหยือกอีกครั้งหนึ่งด้วยจิตใจสงบอย่าวอกแวก

ตามด้วยการประคองเหยือกด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ก่อนจะเทลงบนแก้วน้ำชาทุกใบ ทุกขั้นตอนต้องตั้งใจ และใจจดจ่ออยู่กับท่าทางที่กำลังทำอยู่ จากนั้นรอระยะหนึ่ง แล้วจึงเทน้ำจากแก้วน้ำชาลงในถ้วยรองน้ำทิ้งทุกใบ ขณะที่เทน้ำทิ้งก็ต้องรับรู้ว่า กำลังเทน้ำ น้ำกำลังไหลจากแก้วน้ำชาสู่ถ้วยรองน้ำทิ้งอย่างช้าๆ

จากนั้นเปิดฝากาน้ำดินเผาด้วยท่าวงกลม เทน้ำร้อนอุณหภูมิ 92 องศาฯ ลงในกาน้ำดินเผา และปิดด้วยท่าวงกลมอ้อมเหยือก

นำช้อนไม้ไผ่ทรงกระบอกรูปช้อนทรงกลมสี่เหลี่ยม ตักใบชาในปริมาณตามความนิยมของผู้ดื่ม หากต้องการรสชาติออกขม ก็ใส่มากหน่อย หรือหากชอบชาในรสชาติจางๆ ก็ใส่ใบชาจำนวนน้อยลง จากนั้นปิดฝาด้วยท่าวงกลม

ทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีกว่าๆ กลิ่นหอมของชาจะลอยขึ้นมา เมื่อรับรู้ถึงกลิ่น ผู้ชงก็จะหยิบเหยือกชาดินเผาขึ้นช้าๆ แล้วเทลงในเหยือกน้ำเล็กอีกที วางกาน้ำชาลงและปิดด้วยท่าวงกลมอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้นประคองเหยือกเล็กด้วยมือทั้งสองข้าง และเทน้ำชาลงบนแก้วน้ำชาทุกใบอย่างช้าๆ ซึ่งชาจะมีกลิ่นและควันสีขาวจางๆลอยขึ้นมา

เมื่อรับรู้ถึงกลิ่น และเห็นควันสีขาวจางขึ้นมาจากแก้ว ให้ผู้ดื่มหยิบยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ ลิ้นจะสัมผัสได้ถึงความหนักเบาของชาที่ผู้ชงชาได้ใส่ลงในเหยือกชา น้ำชายังคงอยู่ในปากรับรู้ถึงความร้อน ความหอมถึงชา ก่อนจะอุ่นลง จากนั้นให้กระดกแก้วดื่มจนหมด เพื่อสัมผัสความอุ่นผ่านคอช้าๆ

ตามด้วยการรินน้ำชาแก้วที่ 2 เพื่อดื่มกับขนมหวาน ชาในแก้วที่ 2 นี้จะมีรสชาติต่างจากชาแก้วแรก โดยรสชาติจะบางลงกว่าแก้วแรก ถือว่าจบพิธีการชงชาแบบจีน

น้ำฟ้า กล่าวว่า จากที่ได้ฝึกการชงชาแบบจีนมา ทำให้รู้สึกจิตใจสงบมากขึ้น และรู้สึกชอบที่จะได้เรียนวิชานี้ แม้จะเป็นวิชาเพิ่มเติมก็ตาม ซึ่งครั้งแรกๆนั้น อาจจะยังทำได้ไม่คล่องตัวนัก แต่ถ้ามีการฝึกบ่อยๆ ก็จะเริ่มชิน และสามารถชงชาได้อย่างคล่องตัว ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิไปในตัวด้วย

โดยหลังจากเรียนวิชาการชงชาแบบจีน น้ำฟ้าได้รู้สึกสงบนิ่งมากขึ้น และนำไปปรับใช้กับการเรียนภาษาจีน ซึ่งน้ำฟ้าเลือกเรียนตัวอักษรจีนตัวเต็ม ซึ่งมีความยาก และต้องใช้สมาธิในการเรียนอย่างมากถึงจะจดจำตัวอักษรจีนได้ ซึ่งการฝึกสมาธิจากการชงชาก็ช่วยทำให้การเรียนภาษาจีนดีขึ้นด้วย

4 ปัจจัยหนุนการชงชาจีนให้ได้รสชาติดี

ในด้านความรู้จากใบชา นารีรัตน์ ชีวินกุลทอง ผู้สืบทอดร้านใบชาจรรยา กล่าวว่า เนื่องจากครอบครัวได้ทำธุรกิจใบชา ทำให้ได้จ้างผู้เชี่ยวชาญจากไต้หวันมาควบคุมการผลิตชาของร้านด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านชาจากไต้หวันได้ถ่ายทอดความรู้ในการชงชาไว้จำนวนมาก

โดยนอกจากวิธีชงชาที่ถูกต้องแล้ว การชงชาให้ได้รสชาติดียังต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 4 ประการ คือ

1.ปริมาณการใช้ใบชา นอกจากความชอบในการดื่มชาอ่อน หรือแก่แล้ว จะขึ้นอยู่กับลักษณะของใบชาด้วย เช่น ชาที่มีรูปร่างกลมแน่น กลมหลวม หรือเป็นเส้น ถ้าใช้ใบชาที่มีลักษณะกลมแน่น ควรใช้ชาในปริมาณ 25% ของกาชา ใบชา เมื่อแช่อยู่ในน้ำร้อน จะเริ่มคลี่ตัวออกมาทีละน้อย จนเป็นใบชัดเจน ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้การคลายตัวไม่สะดวก ซึ่งรสชาติ ที่ชงออกมาจะไม่ได้มาตรฐานของชานั้นๆ และการคลายตัวของใบชา เมื่อคลายตัวออกมาเต็มที่แล้ว ควรจะมีปริมาณประมาณ 90 % ของกาชา อย่างไรก็ตาม ขึ้น อยู่กับความชอบของแต่คนละด้วย ว่าต้องการรสชาติ เข้มข้นมากน้อยเพียงใด และขึ้นอยู่กับคุณภาพของใบชาแต่ละชนิดด้วย

2.อุณหภูมิน้ำ หากอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะสำหรับชงชาแน่นกลม แต่อุณหภูมิที่ลดลงมาที่ 80-90 องศาเซลเซียสจะเหมาะสำหรับชงชาที่มีรูปร่างบอบบาง แตกหักง่าย หรือใบชาที่มีใบชาอ่อนมาก และอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียสจะเหมาะสำหรับชงชาเขียว

3.เวลาชงชา ขึ้นอยู่กับความชอบดื่มน้ำชาอ่อนหรือแก่ของแต่ละคนด้วย แต่ปกติชาประเภทกลมแน่น จะใช้เวลาในครั้งแรกประมาณ 40 - 60 วินาที ครั้งต่อๆ ไป เพิ่มอีกครั้งละ 10 - 15 วินาทีต่อครั้ง

4.กาน้ำชานั้น ควรใช้เป็นกาดินเผา เพราะจะเก็บความร้อนได้ดีกว่า และรักษากลิ่นชาได้ดีกว่า

'การชงชาต้องพิถีพิถันตั้งแต่น้ำที่นำมาใช้ ควรใช้น้ำบริสุทธิ์ไม่กลิ่นคลอรีนเจือปน ส่วนกาชา กาดินเผาถ้าใช้นานๆ น้ำชาจะซึมเข้าไปในตัวกา ทำให้ยิ่งชงยิ่งอร่อย ดังนั้นกาดินเผาใบหนึ่งๆ หากใช้ในการชงชาประเภทใดแล้ว ควรใช้ชงชาประเภทนั้นตลอด จะทำให้มีรสชาติและกลิ่นกลมกล่อมมากขึ้น แต่หากไปใช้ใบชาชนิดอื่นมาชง กลิ่นและรสชาติจะตัดกัน ไม่ได้รสชาที่แท้จริง'

นอกจากนี้ สำหรับผู้นิยมดื่มชามากๆ แนะนำว่าหากใช้กาที่ผลิตมาจากดินสีม่วง จะสามารถเก็บรสชาติและกลิ่นได้ดีกว่ากาดินเผาธรรมดา และจะมีแร่ธาตุจากดินเข้าสู่ชาด้วย ซึ่งกาชนิดนี้จะมีราคาที่สูง หายาก

อย่างไรก็ดีคนจีนมีการดื่มชามาแล้ว 2,000 ปี ส่วนสมัยที่ศิลปการชงชาของจีนรุ่งเรืองมากที่สุดอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง (คศ.618-907) จนปัจจุบันในประเทศจีน ชาได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มแห่งชาติ เป็นเครื่องดื่มสำคัญที่มีความหมายทางวัฒนธรรมและศิลปะโบราณ ควบคู่กับ พิณจีน หมากรุก ศิลปะอักษรจีน การวาดภาพ การแต่งโคลงกลอนจีน และการดื่มสุรา โดยศิลปะการชงชานั้นก็ได้รับความสำคัญในระดับชาติของจีนด้วย

หน่วยราชการพันธุ์ใหม่” ปรากฏการณ์เหลือเชื่อระดับโลก


- พบแล้ว!!! “หน่วยราชการพันธุ์ใหม่” นานาชาติยังต้องซูฮก
- เชื่อหรือไม่ ไทยติดอันดับโลก 1 ใน 8 หน่วยงานที่ชนะเลิศด้านบริการ
- “รพ.มหาราช เชียงใหม่” ตีโจทย์แตกปฎิรูปบริการสุขภาพ
- ก.สาธารณสุข เตรียมปั้น รพ.รัฐกว่า 30 แห่งทั่วประเทศสู่ รพ.ดิจิตอล

วันที่ 29 มิถุนายนนี้ เวลา 13.00-14.30 น. ณ Conference Room 4 อาคารสำนักงานองค์การสหประชาชาติ กรุงเทพฯ นับเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ที่ชื่อเสียงของประเทศไทยจะดังกระหึ่มกึกก้องบนเวทียูเอ็น ณ สำนักงานใหญ่ สหประชาชาติประจำประเทศไทย และยังเป็นวันที่ สะท้อนความสำเร็จของการปฎิรูประบบราชการอีกขั้นหนึ่ง หลังจาก 7 ปีที่แนวคิดนี้ถูกประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ผ่านมือรัฐบาลมาถึง 3 ยุค จนกระทั่งรัฐบาลยุคปัจจุบัน จากยุทธศาสตร์กลายมาเป็นยุทธวิธีที่ก่อเกิด “หน่วยงานราชการสายพันธุ์ใหม่” ที่สามารถตกผลึกโมเดลบริหารหน่วยงานของตนเองจนเป็นที่ยอมรับกล่าวขานระดับนานาชาติ (อ่านล้อมกรอบ ธ.โลกจัดไทยสะดวกสุดๆ เอื้อประกอบธุรกิจอับดับที่ 13)

ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้มีความพยายามที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้มีการยกระดับการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ในระดับประเทศได้ส่งเสริมให้มีการมอบรางวัลคุณภาพการให้บริการประชาชน แก่หน่วยงานของรัฐที่สามารถพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเรื่อยมา จนเป็นที่ยอมรับว่ามีความสะดวก รวดเร็ว สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการได้ระดับหนึ่งแล้ว เช่น การบริการทางการออกพาสปอร์ต บัตรประจำตัวประชาชน การต่อทะเบียนรถ ต่อมาได้จัดให้มีจุดบริการที่สำคัญของกระทรวงหรือจังหวัดไว้ ณ ที่แห่งเดียวกัน ในลักษณะศูนย์บริการร่วมของกระทรวงและจังหวัด รวมทั้งมีเคาน์เตอร์บริการประชาชนที่อยู่ในแหล่งชุมชนสำคัญ เพื่อให้บริการพื้นฐานของหลายส่วนราชการซึ่งให้บริการทุกวันและให้บริการนอกเวลาราชการ (อ่านล้อมกรอบ 3 ก้าวย่าง ยกระดับราชการไทย)

แม้ สำนักงาน ก.พ.ร.จะมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐมีการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการในหลายหน่วยงาน แต่หน่วยงานรัฐสายพันธุ์ใหม่ ที่น่าจับตามองมากที่สุดเวลานี้ ต้องยกให้กลุ่ม “โรงพยาบาล” เพราะจัดว่าเป็นหน่วยงานราชการที่มีความพร้อม ทั้งบุคลากรและระบบมากที่สุด อีกทั้งมีความกระตือรือร้น ขวนขวายปรับปรุงการบริหารจัดการระบบแล้วเห็นผลสำเร็จ ทั้งที่มีกรอบกำหนดอยู่ก่อนแล้วในด้านแนวทางปฎิรูประบบสุขภาพ ที่กำหนดแนวคิดใหม่ 8 ข้อ ไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องมีบูรณาการระบบบริการ มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน นโยบายสาธารณะสร้างสุขภาพ ความเสมอภาคและเข้าถึงบริการ มีประสิทธิภาพด้วยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม คุณภาพมาตรฐานตองสนองความต้องการประชาชน พัฒนาศักยภาพผู้บริโภค และพึ่งตนเองด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยแต่ละข้อโรงพยาบาลรัฐต่างทำได้จนบรรลุผลสำเร็จให้เห็นเป็นข้อๆ โดยเฉพาะการบูรณาการระบบบริการ ความเสมอภาค และเข้าถึงบริการ รวมทั้งมีประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม แต่หน่วยงานดังกล่าวนี้ก็สามารถขับเคลื่อนการปฎิรูปทั้ง 2 ภารกิจได้อย่างกลมกลืน และเห็นผลชัด

สำหรับโรงพยาบาลรัฐตัวอย่างที่เดินหน้าค่อนข้างโดดเด่นกว่าแห่งอื่นๆ รายแรก ต้องยกให้ “โรงพยาบาลยโสธร” ซึ่งจัดเป็นโรงพยาบาลนำร่องและติดป้ายชื่อในฐานะหน่วยงานราชการสายพันธุ์ใหม่แห่งแรก เพราะนอกจากได้รับ Best Practice รางวัลคุณภาพการให้บริการประชาชน ปี 2551 แล้ว ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เจ้าภาพขับเคลื่อนปฎิรูประบบราชการเองแล้ว ยังได้ยกระดับคุณภาพการให้บริการ ในเวทีระดับชาติรางวัล'ชมเชย'หรือ Finalist จากคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินการด้านการให้บริการสาธารณะอย่างมืออาขีพ ในการประกวดรางวัลUnited Nations Public Service Awards (UNPSA) ประจำปี 2551 อีกด้วย

ล่าสุด ในปี 2552 นี้ “โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่” ก็สามารถคว้ารางวัลดีเยี่ยม (Winner) ในสาขาการปรับปรุงการบริการ (Improving the delivery of Service) ในการประกวดรางวัล United Nations Public Service Awards ประจำปี 2552 โดยเป็น 1 ใน 8 หน่วยงานจากทั่วโลกที่ได้รับรางวัลดีเยี่ยมของสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติ จากจำนวน 600 หน่วยงานทั่วโลกที่ส่งผลงานเข้าประกวด

จุดเด่นของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ที่ทำให้คว้ารางวัลดีเยี่ยมในครั้งนี้ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ให้ความเห็นว่า อยู่ที่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการแพทย์ และสร้างระบบการร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในการพัฒนาดูแลสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลและขาดโอกาสที่จะเข้าถึงบริการ ทำให้ลดอัตราการเสียชีวิตคนไข้ให้น้อยลง โดยโรงพยาบาลฯได้กำหนดแนวทาง เน้นเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลชุมชนในบริเวณใกล้เคียงให้เป็น “โรงพยาบาลใกล้บ้าน ใกล้ใจ” โดยให้บริการด้านองค์ความรู้ เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาแก่โรงพยาบาลชุมชนและสร้างระบบส่งต่อผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ผ่านเครือข่ายความร่วมมือที่เรียกว่า Collaborative Networks (อ่านรายละเอียด เอ็กซเรย์แชมป์UN Awards Section Management)

“เป้าหมายของระบบเครือข่าย เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ และเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลชุมชนในการดูแลผู้ป่วยโรคซับซ้อนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โรงพยาบาลมหาราชจึงเข้าไปมีบทบาทเป็นที่ปรึกษา สร้างเครือข่ายการดูแลผู้ป่วย จัดระบบดูแลโรควิกฤตแบบเร่งด่วน (Fast Track) สร้างระบบส่งต่ออย่างรวดเร็ว”

ละครการเมืองระหว่างประเทศ ระวังตัวเสี้ยมไทย -กัมพูชา


แม้การเจรจาระหว่างคณะของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะออกมารูปแบบไหน แต่การวางกำลังของกองทัพสองฝ่ายตามแนวชายแดน มีนัยสำคัญที่สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ สมเด็จฮุน เซน ในการตีกรอบการเจรจาแค่เรื่องการถอนกำลังออกบริเวณพื้นที่พิพาท ปิดประตูที่จะพูดคุยในประเด็นที่เราต้องการไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับท่าทีของคณะรัฐมนตรีในการย้ำจุดยืนต่อการตัดสินใจของยูเนสโก

เพราะอย่าลืมว่า ในการวางกำลังของกัมพูชา โดยที่ฝั่งไทยไม่มีกำลังคุมเชิง เสี่ยงต่อการเสียเปรียบของฝ่ายไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของเขตแดน การดำเนินการของรัฐบาลไทยและฝ่ายความมั่นคง ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดในการรักษาผลประโยชน์ในพื้นที่ การจะเจรจาหรือพูดคุยจึงต้องอยู่บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ในพื้นที่ ที่ต้องมีทั้งกำลังทหาร และยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอในการสร้างพลัง และที่ไม่ตกเบี้ยล่างของคู่พิพาท เพราะไม่เช่นนั้นการเจรจาพูดคุยอาจจะเสียเปรียบในเวทีการต่อรอง

บางทีคำพูดของ สมเด็จฮุน เซน และคำพูดของนายฮอร์ นัมฮง รองนายกฯ ของกัมพูชา ที่แข็งกร้าวผ่านสื่อของกัมพูชา ก็อาจเป็นแค่เพียงยุทธศาสตร์ที่ใช้ปูพรมก่อนที่จะมีการเจรจาเกิดขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ ของสองฝ่ายที่แสดงอานุภาพตามแนวชายแดน ผ่านภาพข่าวที่ตึงเครียดแบบวันเว้นวัน อาจเป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เวทีการเจรจาจะเกิดขึ้น เพราะปัญหาต่อจากนี้คือปัญหาในพื้นที่พิพาท หรือในเขตทับซ้อนที่ไทยยังคงตอกย้ำเรื่องการบริหารจัดการร่วม

การที่คณะรัฐมนตรีได้ตอกย้ำเรื่องการประท้วงคำตัดสินของยูเนสโกว่า ผิดกระบวนการและขัดต่อข้อตกลงร่วมของสองประเทศ และให้ตัวแทนของคณะรัฐมนตรีได้ตอกย้ำจุดยืนเดิม แม้รู้ว่าไม่ได้มีผลอะไรมากมาย แต่ในแง่ทางการเมืองที่นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมฯ จนเกิดปัญหาตามมาให้ต้องแก้ไข ได้ออกมายื่นหนังสือทวงถาม และท้าทายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องเอาจริงมากกว่าคำพูดที่เคยกล่าวหาเขาไว้ ก็เป็นหนทางที่นายอภิสิทธิ์จะยืนยันในจุดยืนเองได้ เพราะจุดยืนเหล่านั้นก็อยู่บนฐานของผลประโยชน์ของชาติ

ไม่ว่าวันนี้ละครหน้าฉากของสองฝ่ายจะเป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่า ไม่ว่าฝ่ายผู้นำกัมพูชา หรือผู้นำของไทย ล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนตัวเอง จะมีเรื่องการเมืองในประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องแค่ไหน แต่ก็ล้วนทำเพื่อส่วนรวม ไม่ได้หวังแค่ต้องการผลประโยชน์เพื่อการค้า หรือกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าในส่วนของประชาชนกัมพูชา หรือสื่อที่โหมกระพือช่วยรัฐบาลของ สมเด็จฮุน เซน ล้วนก็เพื่อคนในชาติและผลประโยชน์ของประเทศตัวเอง

มิพักต้องเอ่ยถึงคนไทย ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลไทยต่อสู้เรียกร้องในสิ่งที่เป็นประโยชน์ของชาติ หรือได้รับประโยชน์ในการเจรจาในลักษณะที่สองประเทศได้ประโยชน์จากการบริหารจัดการร่วมกัน ไม่เหมือนคนไทยบางคนที่ไปบงการหรือไปดำเนินการใดๆ ที่มุ่งหวังทางการเมือง เพียงเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาลไทย และหวังแค่การเอาชนะคะคาน หรือเพื่อยืนกรานในสิ่งที่ตัวเองดำเนินการว่าไม่ได้มีข้อผิดพลาดบกพร่องใดๆ แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

แต่เหนืออื่นใด ไทยและกัมพูชาก็เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด เรื่องความสัมพันธ์ที่ดีก็ต้องดำเนินต่อไป จะไปตัดขาดหรือยกประเทศหนีไปคงไม่ได้ แต่หากการเจรจาต่างๆ ยึดเรื่องผลประโยชน์ร่วมกัน และหาหนทางที่ดีที่สุด ก็จะไม่ทำให้เกิดการเผชิญหน้าของกำลังทหารในพื้นที่เกิดขึ้นแน่นอน และละครหน้าฉากที่แยกเขี้ยวใส่กันก็จะจบลงไปพร้อมกับการพูดคุยกันด้วยข้อมูลและเหตุผล โดยไม่มีฝรั่งผมทอง และฝรั่งหัวดำ ที่คอยเสี้ยมอยู่ข้างหลัง คอยก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือจ้องกอบโกยผลประโยชน์ในเรื่องการค้า และทรัพยากรมหาศาล ที่ยังไม่มีข้อยุติในข้อพิพาทหลายจุด.

ขายปลาทูนึ่ง’ เงินงาม


ขาย “ปลาทูนึ่ง” เป็นอีกหนึ่งอาชีพเก่าแก่ที่จนวันนี้ก็ยังเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีของใครต่อใครมากมาย ซึ่งวันนี้ทางทีมงานคอลัมน์ช่องทางทำกินก็มีข้อมูลการทำอาชีพขายปลาทูนึ่งมาให้ลองพิจารณากัน...

เจ๊ชุม-ประชุม อยู่ประเสริฐ และ เจ๊อี๊ด-นิภา อยู่ประเสริฐ สองพี่น้องผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการปลาทูนึ่ง ยึดอาชีพนึ่งปลาทูขายมาหลายสิบปี กับปลาทูแม่กลอง ที่มีเอกลักษณ์คือ “หน้างอ-คอหัก” รสชาติขึ้นชื่อ โดยทั้งสองร่วมกันเล่าว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัว พอพ่อแม่เสียก็รับช่วงทำอาชีพนี้

“ปลาทูแม่กลองจะมีความสด ใหม่ และกินอร่อย เพราะเป็นปลาที่นำมาจากทะเลวันต่อวัน ไม่มีการเก็บปลาไว้ค้างคืน แม่ค้าจะไปรับซื้อปลาที่ท่าเรือ เพื่อนำมาทำปลาทูนึ่ง ช่วงเวลาที่จะไปซื้อปลามานึ่งนั้นไม่แน่นอน เรือเข้า 2 โมงเช้า ก็ไป 2 โมงเช้า เรือเข้า 4 โมงเช้า ก็ไป 4 โมงเช้า รับปลามาแล้วก็เอาไปนึ่งทันที นึ่งเสร็จประมาณไม่เกินเที่ยงก็เอามาวางขายหน้าร้านได้เลย” เป็นกิจวัตรของคนขายปลาทูนึ่งเจ้านี้

เจ๊ชุมยังบอกอีกว่า ช่วงเทศกาลกินเจปลาแม่กลองจะยิ่งอร่อย ปลาจะมีชุกชุมและกำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว เอกลักษณ์ปลาทูแม่กลองต้องตัวเล็ก กินอร่อย เนื้อหวานกว่าปลาทูอินโดฯ ที่ตัวใหญ่กว่าแต่เนื้อจืด

สำหรับการทำอาชีพนึ่งปลาทูขายในภาพรวมนั้น อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... หม้อต้มปลาขนาดใหญ่ สั่งทำเฉพาะ, เต๊า หรือกระเตง (เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นโครงเหล็กทรงกลม ที่ใช้เรียงเข่งปลา เพื่อนำปลาลงไปต้ม), หลัว (เข่งไม้สำหรับใส่เกลือเม็ด), เตาแก๊ส, เข่งไม้ไผ่, กะละมัง และทัพพี

ส่วนวัตถุดิบก็มี... ปลาทู, เกลือเม็ด, ใบตอง และน้ำสะอาด

หลายคนคงเข้าใจว่าที่เรียกว่า “ปลาทูนึ่ง” เพราะนำปลาไปนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วปลาทูนึ่งไม่ใช่การนำปลาทูไปนึ่ง แต่จะนำปลาไปต้ม ที่เรียกว่าปลานึ่งนั้นเพราะเป็นคำที่คนโบราณเรียกกัน และเรียกต่อ ๆ กันมา

การนึ่งหรือต้มปลาทู เจ๊ชุมได้ลงมือทำให้ดู โดยเริ่มจากนำปลาทูมาควักไส้ออก โดยการอ้าปากปลาทู แล้วดึงเหงือกปลาทูออกมา ไส้ทั้งหมดก็จะออกมาด้วย (ไส้ปลาทูก็ไม่ต้องทิ้ง เพราะจะมีคนมารับซื้อถึงที่บ้าน เพื่อนำไปหมักเป็นไตปลา และเอาไปเป็นเหยื่อปลา)

ควักไส้แล้วก็นำปลาทูไปล้างน้ำให้สะอาด ก่อนจะจับปลาทูหักคอให้งอลง เพื่อที่ปลาจะได้อยู่ในเข่งอย่างสวยงาม ซึ่งจุดนี้ทำให้ปลาทูแม่กลองดูแตกต่างจากที่อื่น หลังจากเรียงปลาลงเข่งเรียบร้อยแล้ว ก็นำเข่งปลาทูมาเรียงลงเต๊า (1 เต๊าจะใส่เข่งปลาทูได้ประมาณ 70-80 เข่ง )

ถ้าใช้หม้อต้มขนาด 200 ลิตร จะต้องใส่น้ำลงไปประมาณ 3/4 ของหม้อ แล้วตักเกลือเม็ด 5 ขันใส่ลงไปต้ม พอน้ำเดือดใช้ทัพพีช้อนฟองออกให้สะอาด จากนั้นก็ยกเต๊าปลาทูลงต้มในหม้อ ประมาณ 5-6 นาที ก่อนจะยกเต๊าปลาลงให้ตักน้ำเกลือราดลงบนเข่งอีกครั้ง เพื่อให้ความชุ่มของเนื้อปลายังคงอยู่ ยกเต๊าลงวางให้สะเด็ดน้ำสักพัก และก่อนนำปลาทูเป็นเข่ง ๆ ออกไปขายก็ใช้ใบตองปิดหน้าปลาทูแต่ละชั้น ไม่ให้ปลาติดกัน

ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำปลาทูนึ่ง ซึ่งเจ๊ชุมบอกว่า ปลาทูที่นึ่งใหม่ ๆ จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน และจะน่าทานยิ่งขึ้นถ้าปลาตัวอวบอ้วน เนื้อนุ่มแน่น ไม่ยุ่ย ท้องและผิวไม่ถลอก

เรื่องรายได้ ถ้าใช้ปลาทูสดประมาณ 100 กก. พอขายหมดเพื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะเหลือเป็นค่าเหนื่อยประมาณ 200-300 บาท หรือถ้ามากหน่อยก็ประมาณ 400-500 บาท แล้วแต่ราคาปลาสดแต่ละช่วง

ขณะที่ราคาขายให้ลูกค้า ขึ้นอยู่กับไซซ์หรือขนาดของปลา ถ้าเข่งหนึ่งมี 2 ตัว ขายราคา 3 เข่ง 100 บาท ไซซ์รองลงมาก็ 4 เข่ง 100 บาท และไซซ์เล็ก 5-6 เข่ง 100 บาท

อาชีพขายปลาทูนึ่งเจ้านี้อยู่ที่ตลาดแม่กลอง เป็นปลาทูนึ่งเรือโป๊ะ สด ๆ ของอ่าวแม่กลอง ร้านอยู่หน้าร้านโอ้วแซเซ้ง ตรงข้ามวินมอเตอร์ไซค์ 5 พลัง เดินตรงไปอีกนิดก็จะเจอร้านปลาทูนึ่ง “เจ๊ชุม” จะอยู่ติดกับร้านกุยช่ายทอดและร้านของดองเจ๊หมวย ทั้งสองร้านเป็นเจ้าเดียวกันเพียงแต่แยกกันขาย ใครสนใจติดต่อเจ๊ชุม โทร. 08-1995-6163 ส่วนเจ๊อี๊ด โทร. 08-7919–3071 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

ขาย “ปลาทูนึ่ง” เป็นอาชีพเฉพาะถิ่นก็จริงอยู่ แต่หากใครสนใจ ไม่ได้อยู่ไกลจากแหล่งปลาสดมากจนเกินไป ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำขายได้ และนี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่อาจมองข้าม.

เชาวลี ชุมขำ

'อึ' ให้ดี ไม่มีตกค้าง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เขียนได้รับอีเมลฉบับหนึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “อันตรายจากอุจจาระตกค้าง” ระบุว่า หากคนเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ระบบดูดซึมเสีย ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 น. เช้า หรือ หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบ ให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด อุจจาระที่ค้าง ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่นไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ ในกระเพาะและกดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ

เพื่อให้ผู้อ่านหายข้องใจ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบัน เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จะมาไขข้อข้องใจให้ทุกคนได้รับทราบ

นพ.กฤษดา อธิบายว่า เรื่องอุจจาระตกค้าง หรือ อึค้างเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทุกคน เราอาจตรวจสัญญาณ อึค้างในลำไส้ใหญ่ได้เองง่าย ๆ โดยการนอน หงายแล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยสะดือไปทางซ้ายหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกเต็มที่เลื่อนไปมา ถ้ามีอึค้างอยู่จะคลำได้เป็นลำคล้ายแท่งยาว ๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ของ ลำไส้ โดยลำไส้ใหญ่นี้จะยิ่งคลำได้ชัดในคนที่ผอม สำหรับคนเจ้าเนื้ออาจต้องใช้เทคนิคนอนแล้วแขม่วพุงช่วยแล้วค่อยคลำจะชัดขึ้น ที่จริงเรื่องการอึที่ดูเหมือนเป็นกิจวัตรธรรมดาไม่มีอะไรนั้น มันต้องมีการฝึกเข้าส้วมกันบ้างให้ติดเป็นนิสัย

กลุ่มคนที่มักมีปัญหาเรื่องอึค้าง ได้แก่ 1.เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่าลูบหลัง หรือไม่พาขยับตัวกลิ้งไปมาสักนิดหน่อยให้ไส้ได้บีบตัวบ้าง และในเด็กที่อึแข็งมาก อึนี่อาจแข็งถึงกับบาดรูก้นได้เป็นแผล แล้วครั้งต่อไปเด็กจะไม่อยากอึออกมาเพราะกลัวเจ็บ แผลแยก เลยยิ่งกลั้น พอยิ่งกลั้นอึก็ยิ่งแข็งค้างไปเรื่อย 2.คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืดไปรัดลำไส้ข้างในนุงนังทำให้บีบตัวไม่ดีอาจมีอึค้างอยู่ตามซอกโน้นซอกนี้ในลำไส้ จนบางท่าน กลายเป็นลำไส้อุดตันไปได้ก็มี 3.ผู้สูงอายุและคนไข้นอนโรงพยาบาล ที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิน 4.คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแถมกลั้นอึบ่อย โดยเฉพาะท่านที่ทำงานออฟฟิศต้องนั่งแปะอยู่กับที่นานหรืองานเข้าบ่อยต้องขอผลัดเข้าห้องน้ำไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ดีครับ 5.ท่านที่มีลำไส้ยาว คือยิ่งยาวก็ยิ่งเป็นไซโลเก็บอึไว้ได้นานขึ้น บางท่านจะสังเกตว่าผักก็กินเยอะแต่อึแค่สัปดาห์ละหนเท่านั้น

สำหรับเทคนิค “อึให้ดี ไม่มีตกค้าง” มีดังนี้ 1.อย่าอั้นอึตอนเช้า เพราะถ้าเลยเช้าไปแล้ว กว่าร่างกายจะส่งสัญญาณให้ปวดอีกอาจจะนานจนผิดเวลา 2.อึให้ตรงกับเวลาเดิม เหมือนเป็นการช่วย “โปรแกรม ลำไส้” ให้คอยบีบไล่อึออกมาสม่ำเสมอก็จะไม่ค้างครับ 3.รอจังหวะขณะอึ ถ้าขณะนั่งห้องน้ำถ่ายหนัก อยู่ ถ้าไม่ปวดอย่าเบ่งครับ ให้ลองจับสังเกตว่ามันจะ “ปวดเป็นช่วง ๆ” แล้วก็คลายไปแล้วประเดี๋ยวก็ปวดบีบขึ้นมาอีก นั่นเป็นเพราะลำไส้คนบีบตัวเป็น ลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย ถ้ามันเลื้อยมาถึงตรงอึพอดีมันจึงปวดขึ้นมา ถ้าเบ่งตอนไม่ปวดจะเหมือนเป็นการ “แกล้งลำไส้” ให้เกิดแรงดันขึ้นมาโดยใช่เหตุเกิดโป่งพองขึ้นมาได้ “ริดสีดวงทวาร” เป็นของแถม

4.นวดลำไส้ ถ้าในเด็กให้นวดรอบสะดือ ในผู้ใหญ่ให้นวดตรงท้องด้านล่างซ้ายเลยสะดือไป นวดเบา ๆ ไปมาแล้วทิ้งไว้สักพักจะรู้สึกปวดถ่ายขึ้นมา 5.เอามือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะถ่าย หรือจะลุกขึ้นนั่งยองเอาหน้าขาเป็นตัวกดไล่อึออกมา เพราะที่จริงแล้วการอึที่ดีตามธรรมชาติของคนคือ “นั่งยอง” เพราะจะได้มีแรงกดจากหน้าขาด้วย การที่ฝรั่งเอาส้วมแบบนั่งมาให้เราใช้เป็นการผิดธรรมชาติมนุษย์ที่จะไม่มีแรงเบ่งอึมากในท่านั่งห้อยขาทำให้คนเอเชียกลายเป็นทั้งริดสีดวงและท้องผูกมากเหมือนฝรั่งด้วย 6.ลุกขึ้นเดินไปมา จะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักไส้จะบีบรีดเอา “อึท้ายขบวน” ที่เหลือออกมาแล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที

ไม่ว่าใครก็ตามถ้าความถี่ในการอึน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า “ท้องผูก” นอกจากออกกำลังกายแล้วอาจใช้อาหารล้างลำไส้ช่วยได้ คือ 1. น้ำมะขามเปียกก้นครัว 2.ลูกพรุนแห้งรับประทานทั้งผล เพราะจะได้กากด้วย ไม่ต้องแยกกินแต่น้ำ ยกเว้นถ้าเป็นเด็ก 3.แอปเปิ้ลเขียว กินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้ 4.ถั่วดำ จัดเป็นอาหารล้างพิษได้ด้วย 5.สับปะรดและมะละกอที่มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมดและจะมีสภาพติดเป็นอุจจาระยางเหนียวสีดำคล้ายกับ “จาระบี” 6.ให้เลี่ยงการ ดื่มน้ำเย็นในตอนเช้า โดยให้ดื่มน้ำปกติหรือน้ำอุ่นตอนเช้าขณะตื่นมาท้องว่างจะช่วยให้ไส้บีบรัดตัวได้ ชวนให้ปวดอึขึ้นมาได้ดีทีเดียว.

'ความเข้าใจ-ร่วมมือของผู้ป่วย แพทย์ โรคหอบหืด

โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นโรคใกล้ ตัวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานกับผู้ป่วยจำนวนมากทุก ๆ ปี ซึ่งหากใครไม่เป็นก็คงไม่ได้รับรู้ถึง ความรู้สึกนั้น เพราะเมื่อไหร่ที่ฤดูเปลี่ยน อากาศเปลี่ยน ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจจะต้องได้รับผลกระทบทุกครั้งไป ซึ่งหนึ่งในโรคระบบทางเดินหายใจที่คนทั่วโลกและคนไทยเป็นกันมาก ก็คือ “โรคหอบหืด” ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังและที่ร้ายไปกว่า นั้นโรคนี้ยังเกี่ยวพัน และอาจเป็นสาเหตุที่สำคัญในการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจรุนแรงอื่น ๆ ตามมา อีกด้วย

เนื่องจากในทุก ๆ ภูมิภาคทั่วโลก จะมี ผู้ป่วยด้วยโรคหอบหืดอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น องค์การอนามัยโลก และองค์การหืดโลกได้ร่วมกันกำหนดให้ทุกวันอังคารแรกของเดือนพฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันหอบหืดโลก ประกอบกับปัจจุบัน มลพิษและสิ่งแปลกปลอมในอากาศมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งสำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยโรค ภูมิแพ้และหอบหืดมากถึง 3-4 ล้านคนทั่วประเทศ โดยพบว่าโรคหอบหืดเป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็กเล็ก ซึ่งอาการแสดงของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป บางคนอาจแสดงอาการเป็นประจำตลอดปี บางคนอาจจะมีอาการรุนแรงในบางฤดู เป็นต้น

โรคหอบหืดจัดเป็นโรคเรื้อรังเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ สาเหตุอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือการสูดสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ โดยเกิดจากความไวผิดปกติของหลอดลมต่อสิ่งกระตุ้น เช่น เกสร ดอกไม้ ควันบุหรี่ ไรฝุ่น อาหารบางประเภท อากาศเย็น เป็นต้น ซึ่งสิ่งกระตุ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ท่อทางเดินหายใจเกิดการตีบแคบและทำให้หายใจลำบาก หลอดลมจะเกิดอาการอักเสบและหลั่งเมือก ออกมามาก เยื่อบุหลอดลมจะบวมทำให้ หลอดลมตีบแคบลง ทำให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบ ทั้งหมด นี้ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก ไอ หายใจมีเสียงวี้ด หายใจถี่ และแน่นหน้าอก ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจพบริมฝีปากและเล็บมีสีเขียวคล้ำ ซึ่งผู้ป่วยโรคหอบหืดจะต้องใช้ยาขยายหลอดลมในการรักษา มีทั้งแบบพ่น และแบบรับประทาน ซึ่งแบบพ่นจะให้ผลที่เร็วกว่า และยังสามารถใช้ในเด็กเล็ก ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมียาลดการบวม และการอักเสบของหลอดลม และยาป้องกันอีกด้วย ซึ่งจะใช้ยาชนิดไหนนั้น ต้องอยู่ที่ความรุนแรงของโรคและการวินิจฉัย ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อได้ทราบแล้วว่า โรคหอบหืดเป็นโรคเรื้อรัง ดังนั้นการรักษาที่ดีที่สุดคือทำอย่างไรจึงจะ ควบคุมโรคได้ซึ่งพอจะรวบ รวมได้เป็นหลักใหญ่ ๆ 3 ประการดังนี้

1. ควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว

ดังที่ทราบแล้วว่า โรคหอบหืดเกิดจากร่างกายถูกกระตุ้นโดยสิ่งแวดล้อม ถ้าได้รับการตรวจสารก่อภูมิแพ้ไม่ว่าจะตรวจโดยการทดสอบทางผิวหนัง หรือตรวจหาระดับ IgE โดยการเจาะเลือดตรวจ ให้หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้น เช่น ไรฝุ่น ขน สุนัข ควันบุหรี่ เป็นต้น แต่ถ้าไม่ทราบว่าแพ้สารอะไร ก็ให้หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

ฝุ่นละออง

ควันรถ ควันบุหรี่

จัดห้องนอนไม่ให้มีสิ่งของที่จะคอยเก็บฝุ่น ควรมีเฉพาะเตียง ที่นอน ตู้เสื้อผ้า สิ่งอื่น ๆ ไม่ควรมี

ดูแลทำความสะอาดผ้าม่าน ห้องนอน ควรมีแสงสว่างส่องทั่วถึง ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าต่างตลอดเวลา ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่อำนวย เปิดระบายอากาศในช่วงเช้า 1-2 ชั่วโมงก็เพียงพอ

หลีกเลี่ยงการมีสัตว์เลี้ยง

2. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้

พักผ่อนให้เต็มที่

ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ

3. การใช้ยา ชนิดระยะเวลาของการใช้ยา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค การใช้ยาที่ถูกต้องถูกวิธีจะควบคุมโรคได้ดี ควรปรึกษาแพทย์โรคภูมิแพ้

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคหอบหืด

1. ถ้ารุนแรงอาจเสียชีวิตได้ เป็นผลจากหลอดลมตีบจนหายใจไม่ได้

2. โรคแทรกซ้อน ถุงลมแตก การติดเชื้อแบคทีเรีย ติดเชื้อนิวโมคอคคัส เกิดกลุ่มโรค IPD ซึ่งอาจจะเกิดปอดอักเสบ (ดังภาพที่ 2) หูอักเสบ sinus อักเสบ และรุนแรงจนเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อายุ < 2 ขวบ แต่ขณะนี้พบน้อยลงเนื่องจากมีวัคซีนป้องกันโรค IPD เข้า มาในประเทศไทย แต่เนื่องจากราคาสูง จึงเป็นวัคซีนทางเลือก

3. คุณภาพชีวิตเสียไป ขาดงาน ขาดเรียน ขาดการร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น

แม้ว่าโรคหอบหืดจะเป็นโรคระบบทาง เดินหายใจเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยสามารถเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับโรคหอบหืดให้มีความสุข ด้วยการรู้จักควบคุม และดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี นั่นเอง

ข้อมูลจาก นายแพทย์วิทยา อัศววิเชียรจินดา กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลพญาไท 3.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

เลขาอย.แนะอยากผอมให้หมั่นออกกำลังกาย

เลขา อย.แนะ อยากผอม ให้หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารมีประโยชน์ เลี่ยงกินยาลดความอ้วน หลังพบล่าสุด สาวโรงงานเมืองกรุงเก่ากินยาลดวามอ้วนจนตาย

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยถึงกรณีที่หญิงวัย 29 ปี เสียชีวิตที่อาจเกี่ยวข้องกับการทานยาลดความอ้วน ว่า ต้องรอผลการชันสูตรศพ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงก่อน ว่าเกี่ยวข้องกับการทานยาลดความอ้วนหรือไม่ ขณะที่มีการสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจเสียชีวิตจากการทานยาลดความอ้วนนั้นตนเข้าใจว่า อาจมาจากคำบอกเล่าของเพื่อนผู้ตาย ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ที่ทานยาลดความอ้วนจะมีอาการใจสั่น เนื่องจากฤทธิ์ยามีผลต่อระบบปราสาทในการกดสมองไม่ให้มีความต้องการในการอยากรับประเทศอาหาร แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับว่า การทานยาลดความอ้วนของผู้ตายรายนี้ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ยังฝากเตือนประชาชนถึงแนวทางจะลดน้ำหนักด้วยว่า การออกกำลังกายและการรับประธานอาหารที่มีประโยชน์เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะการทานยาลดความอ้วนนั้น ก็ได้ผลเร็วแต่ก็ส่งผลอันตรายถึงร่างกายได้

ไทยตื่นแห่ดูพระอาทิตย์มืดกลางวันที่จีน

หอดูดาวบัณฑิตแปดริ้ว ร่วมกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เตรียมความพร้อม พากลุ่มเยาวชน ลุยส่องดูดวงพระอาทิตย์มืดกลางวันที่เมืองจีน
นายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต นักดาราศาสตร์ไทย กล่าวเปิดเผยว่า จากการที่ในวันพุธที่ 22 ก.ค.52 จะเกิดปรากฏการณ์ "สุริยุปราคาเต็มดวง" ที่ดวงอาทิตย์จะถูกดวงจันทร์บดบังจนทำให้ท้องฟ้ามืดลงในเวลากลางวัน สามารถมองเห็นได้ ในประเทศอินเดีย จีน ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นั้น ขณะนี้ด้านความเคลื่อนไหวของนักดาราศาสตร์ไทย ได้มีการเตรียมตัวที่จะเดินทางไปศึกษาหาประสบการณ์ ที่ประเทศจีนมากถึง 3 ทีมด้วยกัน คือ
ทีมของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ทีมของสมาคมดาราศาสตร์ไทย และทีมงานของหอดูดาวบัณฑิต ที่จะเดินทางไปที่เมืองเจียซิง และได้รับความสนใจจากสถานศึกษาหลายแห่ง

ขณะที่ ดร.ศรันย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ สุริยุปราคาเต็มดวง ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่จะมืดยาวนานที่สุดในศตวรรษ และนับจากปีนี้ไปจะต้องรอต่อไปอีก 123 ปี จึงจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงแบบยาวนานอย่างนี้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนในประเทศไทยนั้น จะมีโอกาสเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้นในอีก 61 ปีข้างหน้า คือ ในวันที่ 11 เม.ย.2613 แต่จะไม่ยาวนานมากเท่ากับในครั้งนี้ ซึ่งล่าสุดที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น คือ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2538 เป็นระยะเวลาเพียงแค่ 1 นาที 52 วินาทีเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กฏแห่งพลังชีวิต


"หากท่านศรัทธาธรรมชาติ ธรรมชาติจะค้ำจุนท่าน"
พลังชีวิต = เพิ่มภูมิชีวิต เสริมสร้างสุขภาพ one way
= สร้างความสุขสมบูรณ์ ความราบรื่นให้แก่มนุษย์ ครอบครัว ชุมชน
ประเทศชาติและโลก

:: อิทธิพลของ Bio-Energy ::

(1)อิทธิพลลต่อสุขภาพ : เซลล์ร่างกายเป็นส่วนย่อยของจักรวาล และสามารถเชื่อมโยงกับจักรวาลได้ จึงมีอิทธิพลต่อระบบ ภูมิชีวิต (immune system) มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตการสืบพันธ์ และ ปฏิกิริยาเคมีภายใน ร่างกายมากกว่า 20,000 ชนิด เช่น น้ำย่อย ฮอร์โมน
สื่อประสาท ฯลฯ

(2)อิทธิพลต่อพฤติกรรม

(3)อิทธิพลต่อจังหวะชีวิต (Circadian Rhythm) และสิ่งแวดล้อม

ดวงอาทิตย์ : อุณภูมิของร่างกายเป็นตัวกำหนด กิจกรรมชีวิต เช่น หนูมีอุณหภูมิสูงตอน
กลางคืนซึ่งเป็นเวลาหากินและ อุณหภูมิตำกลางวัน ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อน เชื้อมาลาเรีย
ออกจากเม็ดเลือดตอนบ่าย (ซึ่งมีอุณหภูมิสูง) เวลาแบ่งตัวจน 6 โมงเย็น ทำให้ผู้ป่วยมีไข้
หนาวสั่น อ่อนเพลียจนนอนหลับตอนกลางคืนแต่ถ้าคนไข้ทำงานกลางคืน ปรากฏการณ์
จะเปลี่ยนกลับกัน

ดวงจันทร์ : ทำให้น้ำขึ้นลง จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตสัตว์น้ำ ปลาวางไข่ตอนพระจันทร์
เต็มดวง รอต่อมาอีกสองสัปดาห์มีพระจันทร์ เต็มดวงอีกครั้ง ลูกปลาจึง จะออกจากไข่

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ยุงลาย พาหะนำโรคชิคุนกุนยา


ยุงลาย พาหะนำโรคชิคุนกุนยา
ยุงถึงแม้เป็นสัตว์ตัวเล็กๆและมีวงจรชีวิตที่แสนจะสั้นนัก แต่ยุงมักก่อให้เกิดปัญหาและความรำคาญให้เราได้อย่างมากมาย ดังคำโบราณที่ว่ายุงร้ายกว่าเสือ ยุงเป็นพาหะนำโรคหลายๆ ชนิด เช่น ไข้เลือดออกจากยุงลาย ไข้มาเลเรียหรือไข้จับสั่นจากยุงก้นป่อง โรคเท้าช้าง หรือ โรคไข้สมองอักเสบ เหล่านี้ก็ล้วนเป็นอันตรายจากสัตว์มีปีกเล็กๆ อย่างยุงทั้งสิ้น ยุงจึงเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพและสร้างความรำคาญให้กับมนุษย์เราได้อย่างมาก จากการสำรวจของสำนักระบาดวิทยาได้รายงานว่า ตลอดปี 2551 ประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกถึง 87,494 ราย เสียชีวิต 101 ราย โรคมาลาเรีย มีผู้ป่วย 28,943 ราย เสียชีวิต 42 ราย โรคชิคุนกุนยา มีผู้ป่วย 2,234 มีผู้เสียชีวิต 3 คน โรคไข้สมองอักเสบมีผู้ป่วย 68 ราย และโรคเท้าช้างมีผู้ป่วย 4 ราย

โรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรคและกลายเป็นที่สนอกสนใจของคนทั่วไปในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นโรคชิคุนกุนยา โรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่อะไร แต่มีปรากฏมานานแล้ว แม้ชื่อฟังออกไปแนวเกาหลี-ญี่ปุ่น แต่จริงๆแล้วโรคนี้มีต้นกำเนิด ขึ้นครั้งแรกใน ประเทศแถบแอฟริกา โดยตรวจพบครั้งแรกในแถบรอยต่อระหว่างภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศแทนซาเนีย และทางตอนเหนือของประเทศโมแซมบิก ชื่อชิคุนกุนยา เพี้ยนมาจากคำพื้นเมืองของชาวแอฟริกาที่เรียกเชื้อโรคชนิดนี้ว่า kungunvala ซึ่งมีความหมายถึงลักษณะอาการที่บูดเบี้ยวบิดงอ เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดข้อนั้นเอง

โรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรคและกลายเป็นที่สนอกสนใจของคนทั่วไปในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นโรคชิคุนกุนยา โรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่อะไร แต่มีปรากฏมานานแล้ว แม้ชื่อฟังออกไปแนวเกาหลี-ญี่ปุ่น แต่จริงๆแล้วโรคนี้มีต้นกำเนิด ขึ้นครั้งแรกใน ประเทศแถบแอฟริกา โดยตรวจพบครั้งแรกในแถบรอยต่อระหว่างภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศแทนซาเนีย และทางตอนเหนือของประเทศโมแซมบิก ชื่อชิคุนกุนยา เพี้ยนมาจากคำพื้นเมืองของชาวแอฟริกาที่เรียกเชื้อโรคชนิดนี้ว่า kungunvala ซึ่งมีความหมายถึงลักษณะอาการที่บูดเบี้ยวบิดงอ เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดข้อนั้นเอง
โรคชิกุนคุนยามีแหล่งกำเนิดมาจากลิงบาร์บูนในป่าแอฟริกา เมื่อลิงที่มีเชื้อโดนยุงกัด ก็จะทำให้ยุงตัวนั้นกลายเป็นพาหะนำโรคและเมื่อยุงไปกัดคน ก็ทำให้ผู้ที่ถูกกัดได้รับเชื้อดังกล่าวเข้าไปด้วยต่อมาเมื่อการคมนาคมได้มีการเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้เชื้อเข้าสู่เมืองกลายเป็นโรคติดต่อระหว่างคนสู่คนโดยที่มียุงเป็นพาหะในการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
โรคนี้ถูกตรวจพบในครั้งแรกเมือปี พ.ศ. 2495ทางตอนใต้ในประเทศแทนซาเนีย หลังจากนั้นอีก 3 ปี หรือในปี พ.ศ. 2498 Marion Robinson และ W.H.R. Lumsden ก็ได้บรรยายถึงลักษณะอาการของโรคนี้เป็นครั้งแรกทำให้โรคชิคุนกุนยาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในสังคม หลังจากนั้นโรคชิคุนกุนยาก็มีการระบาดเป็นระยะๆ โดยมีปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวในบริเวณ ทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในทวีปเอเชียตรวจเจอโรคนี้ครั้งแรกในประเทศไทยของเรานี้เอง มีการตรวจเจอผู้ป่วยซึ่งติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในปีพ.ศ. 2501 โดย Prof.W McD Hamnon แยกเชื้อชิคุนกุนยาได้จากผู้ป่วยในโรงพยาบาลเด็ก จ.กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นก็มีการตรวจพบผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยาในทวีปเอเชียเป็นครั้งคราวกระจัดกระจายไปในพื้นที่ต่างๆ ในปี พ.ศ.2506 ตรวจพบผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยาในประเทศอินเดีย ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าตรวจพบเชื้อนี้เป็นครั้งแรกของทวีปเอเชีย ทั้งยังมีการระบาดของโรคดังกล่าวทั้งในประเทศศรีลังกา พม่า อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นครั้งราว ในราว ปี พ.ศ. 2548-2549 มีการระบาดใหญ่ของโรคชิคุนกุนยาในหมู่เกาะทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 237คน และประชากร 1 ใน 3 ติดเชื้อชิคุนกุนยาซึ่งสร้างความทรมานให้เป็นอย่างมากในช่วงเวลาเดียวกันก็เกิดการระบาดในประเทศปากีสถานด้วยเช่นกัน ส่วนในปีที่ผ่านมาพ.ศ. 2551 เกิดการระบาดของโรคชิคุนกุนยาในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ มีผู้ป่วยรวม 1,985 ราย ซึ่งกว่าครึ่งอยู่ในรัฐยะโฮว์ โดยคาดการว่า เชื้อโรคได้แพร่เข้ามาโดยแรงงานที่ไปทำงานในประเทศอินเดีย รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่งกลับมาจากรปะเทศอินเดียซึ่งพบการระบาดก่อนหน้าไม่นาน
ดูจากการแพร่ระบาดของโรคชิคุนกุนยาแล้ว ไม่เป็นเรื่องเกินคาดเลย ที่ปีนี้จะพบว่าในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อชิคุนกุนยา แล้วกว่า 2 หมื่นรายใน 28 จังหวัด สำหรับประเทศไทยของเราเคยประสบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชิคุนกุนยามาแล้วหลายครั้งดังนี้
1. พ.ศ. 2501 ตรวจเจอเชื้อที่โรคพยาบาลเด็ก
2. พ.ศ. 2531 เกิดการระบาดในจังหวัดสุรินทร์
3. พ.ศ. 2531 เกิดการระบาดในจังหวัดขอนแก่นและปราจีนบุรี
4. พ.ศ. 2536 เกิดการระบาดของโรคดังกล่าวในประเทศไทยถึง 3 ครั้งคือที่จังหวัด จังหวัดเลย นครศรีธรรมราช และหนองคาย
5. พ.ศ. 2536 เกิดการระบาดในจังหวัดนราธิวาสและปัตตานี มีผู้ป่วยราว 170 คน
6. พ.ศ. 2552 เกิดการระบาดในแถบภาคใต้ของไทย ก่อนจะแพร่ขยายไปยังภาคกลางและภาคอีสาน
จากข้อมูลของ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคจนถึงปัจจุบัน(27 พ.ค พ.ศ. 2552) พบผู้ป่วยเป็นจำนวนรวมแล้ว 22,276 ราย ใน 28 จังหวัด โดยเป็นผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดสงขลา 9,078 รายจัดเป็นพื้นที่ที่มีผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยามากที่สุด รองลงมาคือจังหวัดนราธิวาสที่พบผู้ป่วย 7,011 รายและที่น่าแปลกใจคือ ในจำนวนของผู้ติดเชื้อทั้งหมดยังมีผู้ป่วยซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพ อีก 3 ราย
สาเหตุของโรค
เชื้อไวรัสของโรคชิคุนกุนยาเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับเชื้อไวรัสที่ทำให้ป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยทางการแพทย์ได้แบ่งเชื้อไข้เลือดออกไว้เป็นสองชนิดคือ เชื้อ เด็งกี (dengue) กับชิกุนคุนยา (chigunkunya) โดยประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยไข้เลือดออก จะมีสาเหตุจากเชื้อเด็งกีส่วนอีกประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยไข้เลือดออก จะมีสาเหตุจากเชื้อชิกุนคุนยา ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรงเท่ากับผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเด็งกี คือไม่ทำให้เกิดภาวะช็อก เพราะเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาแตกต่างกับเชื้อเด็กกีตรงที่เชื้อชิคุนกุนยาไม่มีการรั่วของพลาสม่าออกนอกเส้นเลือด
ไวรัสชิคุนกุนยา เป็น RNA Virus จัดอยู่ใน genus alphavirus และ family Togaviridae เมื่อยุงลายกัดหรือดูดเลือดผู้ป่วยซึ่งมีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดก็จะทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระเพาะของยุงแล้วเพิ่มจำนวนเชื้อมากขึ้นก่อนเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลายของยุงพาหะและเมื่อยุงพาหะไปกัดคนอื่นเข้าก็จะทำให้ผู้ที่ถูกยุงกัดติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาตามไปด้วย
เชื้อชนิดนี้โดยทั่วไปจะมีการฟักตัวราว 1-12 วัน แต่จะพบบ่อยที่สุดใช้ระยะเวลาในการฟักตัวราว 2-3 วันโดยผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการไข้สูงในระยะเวลา 2-4 วันอันเป็นช่วงเวลาที่ที่ไวรัสมีอยู่ในกระแสเลือดมาก ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างเฉียบพลัน มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ปวดข้อกระดูก ปวดกระบอกตา หรือบางรายอาจจะมีอาการตาแดง หรือคันร่วมด้วยแต่ทั้งนี้ไม่ค่อยจะพบจุดเลือดออกในตาขาว
ทั้งนี้ โรคชิคุนกุนยาอาจจะมีอาการของโรคที่คล้ายกับโรคอื่นๆ อีกซึ่งจำเป็นต้องแยกแยะให้ดี เช่น
1. ไข้หวัด มีอาการตัวร้อนเป็นพักๆ มีน้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอเล็กน้อย ไข้มักจะหายได้เองภายใน 2-4 วัน
2. ไข้หวัดใหญ่ มีอาการตัวร้อนจัดเป็นพักๆ ปวดเมื่อยตามตัวมาก เบื่ออาหาร เจ็บคอเล็กน้อย ไอ และมีน้ำมูกเล็กน้อยร่วมด้วย อาการไข้มักจะหายได้เองภายใน 3-5 วัน
3. หัด มีอาการตัวร้อนตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง คล้ายไข้เลือดออก แต่แตกต่างกันตรงที่หัดจะมีขี้มูกเกรอะกรัง ไอ และหลังมีไข้ 3-4 วันจะมีผื่นแดงขึ้นตามตัว โรคนี้มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน
4. ปอดอักเสบ (ปอดบวม) มีไข้สูง ไอมีเสลด เจ็บหน้าอก และหายใจหอบ หากสงสัยต้องไปพบแพทย์ทันที มักต้องทำการตรวจ เสมหะ เอกซเรย์ปอด
5. ไข้รากสาดน้อย (ไทฟอยด์) มีไข้สูงตลอดเวลา จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูกหรือไม่ก็ถ่ายเหลว ไม่มีน้ำมูก อาการตัวร้อนมักจะเป็นนานเป็นสัปดาห์ขึ้นไป หากสงสัยแพทย์จะทำการตรวจเลือดพิสูจน์
6. ไข้ฉี่หนู (เล็ปโตสไปโรซิส) จะมีไข้สูงตลอดเวลา หนาวสั่น ปวดน่อง ตาแดง ดีซ่าน หากสงสัยควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
การรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ช่วยป้องกันหรือรักษาโรคชิคุนกุนยาได้โดยตรง การรักษาจึงทำได้เฉพาะการรักษาตามอาการเท่านั้น เช่นการให้ยาลดไข้ การให้ยาเพื่อลดอาการปวดข้อ ซึ่งทางการแพทย์พบว่าการใช้ ยาคลอโรควิน (Chloroquin) สามารถบรรเทาอาการที่เกิดจากโรคชิคุนกุนยาได้ผลดี ในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีการพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาเยียวยาโรคนี้ต่อไป แม้โรคนี้อาจจะไม่ได้สร้างความอันตรายให้ถึงแก่ชีวิตได้โดยตรงแต่การต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการเจ็บปวดตามข้อกระดูก็คงไม่เป็นที่พิศมัยของใครเช่นกัน
การป้องกัน
การป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับโรคนี้คงหนีไม่พ้นการป้องกันไม่ให้ยุงลายอันป็นพาหะนำโรคกัด เพราะเรามิอาจทราบได้ว่ายุงลายที่มากัดเรานั้นจะมาพร้อมกับเชื้อไวรัสอย่างไข้เลือดออก หรือ ชิคุนกุนยาด้วยหรือไม่ การป้องกันของภาครัฐคือการให้การสนับสนุนช่วยเหลือในการลดปริมาณยุงลงในพื้นที่เสี่ยง เช่นการออกพ่นหมอกควันเพื่อลดปริมาณของยุง แต่อย่างว่าพ่นได้ไม่นานยุงก็กลับมาอีก จึงต้องมีการพ่นหมอกควันกันอย่างสม่ำเสมอ ทางทีดีกว่านั้นคือเราต้องช่วยกันกำจัดแหล่งเพราะพันธุ์ยุง ในบริเวณไหนที่อาจจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงได้ก็ต้องช่วยดูแลรักษา เช่น การปิดตุ่มน้ำตามชนบท ซึ่งในเมืองคงไม่มีตุ่มใส่น้ำให้ปิดกันสักเท่าไหร่ หรือในบริเวณขาตู้กับข้าวก็เป็นอีกทีหนึ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับการแพร่พันธ์ของยุงลายได้เป็นอย่างดี หรืออย่างในแจกันดอกไม้ก็ต้องหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้เกิดเป็นแหล่งเพราะพันของยุงได้ หากใครเลี้ยงปลาหรือมีบ่อปลา กระถางบัวใบใหญ่ๆก็ต้องระมัดระวังให้ดีเช่นกัน หรืออาจจะใช้วิธีกำจัดลูกน้ำตามธรรมชาติ โดยการหาปลากัดหรือปลาหางนกยูงมาเลี้ยงไว้ เพื่อช่วยกำจัดลูกน้ำตามวิธีการห่วงโซอาหารก็คงพอจะลดอัตราการเจริญเติบโตของยุงลงได้บ้าง
การใช้ผลิตภัณฑ์กันยุงก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกอย่างหนึ่ง เช่น ผลิตภัณฑ์กันยุงที่มีสารไล่ยุงอย่างสาร DEET,PMD, icaridin หรือ IR3535 การสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดก็สามารถช่วยป้องกันการถูกยุงกัดได้ หากการใช้สารไล่ยุงสังเคราะห์ ทำให้ผู้ใช้ไม่มั่นใจจะลองหันมาใช้สมุนไพรแบบไทยๆที่มีฤทธิ์ไล่ยุงดูบ้างก็ได้เช่นกัน ตะไคร้หอม สนุมไพรชนิดหนึ่งที่ยุงไม่ชอบเอาเสียเลย หรือพืชอย่างกะเพรา ขมิ้น ดอกดาวเรือง พืชในตระกูลส้มก็มีฤทธิ์ไล่ยุงและลูกน้ำได้ดีไม่แพ้กัน สำหรับกระเพรานั้นจำเป็นต้องขยี้เพื่อให้น้ำมันที่อยู่ในใบระเหยออกมาเพื่อใช้ในการไล่ยุง แต่พวกดอกดาวเรืองเพียงแค่ปลูกไว้ในบริเวณบ้าน กลิ่นของมันจะช่วยไล่ยุงและแมลงต่างๆได้เป็นอย่างดี
แม้โรคชิคุนกุนยาจะยังไม่มียารักษาโดยตรงดังนั้นการป้องกันรักษาที่ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการป้องกันไม่ให้ยุงกัดเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ายุงที่กัดเรานั้นพกของแถมอะไรมาให้บ้าง กว่าจะรู้ตัวเราอาจจะนอนซมเพราะพิษไข้เนื่องมาจากไวรัสที่ยุงเป็นพาหะ จนแล้วจนรอดก็คงไม่มีการรักษาใดที่ดีไปกว่าการป้องกันนั้นเอง
แหล่งข้อมูล
1. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค http://203.157.15.4/
2. เอกสาร ความรู้ เรื่อง โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya)สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค
3. เอกสารโรคชิคุนกุนยา(Chikungunya) กระทรวงสาธารณะสุข
4. สารานุกรมทันโรค โดย นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
5. รายงานสถานการณ์โรคไข้ชิกุนคุนยา(27 พ.ค. 52) สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รวมรวมข้อมูลโดย นพ.โสภณ เอี่ยมสิริถาวร นส.อมรา ทองหงส์ นายสมาน สยุมภูรุจินันท์





การกระจายของโรคชิคุนกุนยาในประเทศไทย
ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 27 พ.ค. 52
ภาพจาก สำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค

กรดไหลย้อน...โรคทรมานชีวิตประจำวัน


เคยรู้สึกเหมือนมีน้ำย่อยขมๆ ไหลย้อนมาที่คอหรือไม่?
ท้องอืด แน่นท้อง หรือรู้สึกมีก้อนที่คอใช่ไหม?
หลังอาหารมื้อหลักมักจะคลื่นไส้อาเจียน?

หากท่านมีอาการเหล่านี้ บ่อยๆ อย่านิ่งนอนใจ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของ “โรคกรดไหลย้อนจากกระเพาะสู่หลอดอาหาร” หรือ โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease : GERD) เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยสิ่งที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยอาจเป็นด่างหรือน้ำย่อยจากลำไส้เล็ก โดยอาจมีหรือไม่มีภาวะหลอดอาหารอักเสบก็ได้

ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการแสบยอดอก หรือมีภาวะเรอเปรี้ยวร่วมด้วย (มีความรู้สึกเหมือนมีกรด หรือน้ำย่อยรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาที่คอหรือที่ปาก) ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบได้ ถ้าเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรงอาจทำให้หลอดอาหารส่วนปลายตีบ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหาร ในบางรายที่เป็นรุนแรงอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ นอกจากนี้ ในบางรายอาจมาด้วยอาการของโรคทางระบบหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง หรืออาจมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ หรือมีกลิ่นปาก เป็นต้น

สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น

1.หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับการกลืน ทำให้กรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารสามารถไหลย้อนกลับขึ้นไปสู่บริเวณหลอดอาหารได้ ซึ่งสาเหตุนี้จัดเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรค





2.ความดันของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าคนปกติ หรือเกิดมีการเลื่อนของกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารมากขึ้น

3.เกิดจากความผิดปกติในการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารเอง
4.ปัจจัยทางพันธุกรรม

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน
อาการสำคัญคือ แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ แล้วลามมาที่บริเวณหน้าอกหรือคอ อาการนี้จะเป็นมากขึ้นหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก หรือเมื่อโน้มตัวไปข้างหน้า ยกของหนัก หรือนอนหงาย อาการสำคัญอีกประการก็คือ อาการเรอเปรี้ยว คือมีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก โดยผู้ป่วยอาจมีทั้ง 2 อาการหรืออาการใดอาการหนึ่งก็ได้ ในคนไทยที่เป็นโรคนี้บางครั้งอาจพบอาการนี้ไม่ชัดเจนอย่างคนในแถบตะวันตกหรืออเมริกา อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือกลืนลำบากในบางรายที่เป็นมาก บางรายอาจมาด้วยอาการที่ไม่ใช่อาการของหลอดอาหาร เช่น เจ็บหน้าอก จุกที่คอ มีอาการคล้ายมีอะไรติดหรือขวางอยู่บริเวณลำคอ เสียงแหบ หรือเจ็บคอเรื้อรัง หอบหืด หรือปากมีกลิ่นโดยหาสาเหตุไม่ได้


จะวินิจฉัยอย่างไร
โดยปกติแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการดังที่กล่าวมา โดยผู้ป่วยที่มีอาการทั้งแสบยอดอก และ/หรือ เรอเปรี้ยว (ทั้งนี้ไม่ควรมีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคอื่น อาทิ น้ำหนักลด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ถ่ายเป็นเลือด หรือมีไข้) แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยมีภาวะกรดไหลย้อน และให้การรักษาเบื้องต้นได้ โดยจะติดตามดูอาการของผู้ป่วย ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ส่องกล้องทางเดินอาหาร ตรวจทางรังสีวิทยา การตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบว่าได้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน

ควรปฏิบัติอย่างไรถ้าเป็นโรคนี้
โดยทั่วไปเป้าหมายของการรักษา แพทย์จะมุ่งเน้นให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น โดยรักษาอาการอักเสบของแผลในหลอดอาหารและป้องกันภาวะแทรกซ้อน การรักษาประกอบไปด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต การให้ยา การส่องกล้องรักษาและการผ่าตัด ในเบื้องต้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งสามารถทำได้ดังต่อไปนี้

1.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
2.หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรืออาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด อาหารไขมันสูง ช็อคโกแลต
3.ระวังไม่ให้น้ำหนักตัวมากหรืออ้วนเกินไป
4.ระวังอาหารมื้อเย็น ไม่กินปริมาณมากและไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
5.ควรรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
6.ไม่ใส่เสื้อรัดรูปเกินไป
7.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
8.นอนตะแคงซ้ายและนอนหนุนหัวเตียงให้สูงอย่างน้อย 6 นิ้ว

เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรทำอย่างไร
ถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทานยาร่วมด้วย โดยยาที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบันคือยาลดกรดในกลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPI) โดยที่แพทย์จะให้รับประทานยาในกลุ่มนี้เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ ในบางรายที่เป็นมากอาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาแบบช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือไม่กี่วันตามอาการที่มี หรือกินติดต่อกันตลอดเป็นเวลานาน อย่างไรก็ดีการใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ในรายที่รับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นอาจพิจารณาการรักษาด้วยการส่องกล้องหรือการผ่าตัด

**สำหรับยาในกลุ่มที่มีผลต่อการลดจำนวนการคลายตัวของหูรูดนั้น ยังมีอยู่จำนวนไม่มากและยังมีผลข้างเคียงอยู่พอสมควร

*ข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี

บทบาทใหม่


"สุนัข" เป็นเพื่อนยากสี่เท้าของมนุษย์นับแต่โบราณกาล...นอกจากเป็นเพื่อนคลายเหงาแล้ว ยังถูกนำมาปฏิบัติหน้าที่สำคัญต่างๆ เช่นผู้ช่วยในการล่าสัตว์ นำทางคนตาบอด เฝ้ายาม จนถึง "อาวุธ" ในสงคราม

ด้วยความสามารถรอบด้านโดยเฉพาะการ "ดมกลิ่น" ปัจจุบันสุนัขจึงถูกนำมาใช้ตรวจจับวัตถุแปลกปลอมไม่ว่ายาเสพติดหรือวัตถุระเบิดอย่างแพร่หลายตามสนามบินต่างๆทั่วโลก ทำให้เหล่านักวิจัยอังกฤษประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยควีนส์ในเบลฟาสต์ มอบหมายหน้าที่ใหม่ให้กับเจ้าตูบที่จมูกไวเป็นพิเศษ...ในการตรวจเช็กค่าน้ำตาลในกระแสเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยค้นพบโดย "บังเอิญ" เมื่อปีที่ผ่านมา ระหว่างการรักษาคนไข้เบาหวานนามพอล แจ็กสัน ที่เล่าให้แพทย์ฟังว่า เจ้าลูกน้อย "ทิงเกอร์" ที่เลี้ยงไว้จะคอยช่วยเตือนให้ตนฉีดอินซูลินตลอดก่อนที่จะหมดสติไป โดยมันจะเข้ามาเลียไม่ยอมหยุด

ดังนั้นทางทีมวิจัยจึงลงมือตรวจสอบ โดยนำผู้ป่วยเบาหวานขั้นรุนแรงที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำมาทดสอบ ผลปรากฏว่าสุนัขกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ สามารถตรวจจับอาการ "ไฮโปไกลซีมิก" หรือ "ภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ" ของผู้ป่วยได้ดี และจะส่งเสียงเห่า หอน หรือเลียเตือน

ทั้งนี้ นางแคลร์ เกส ผู้บริหารประจำศูนย์วิจัยระบุว่า จากงานวิจัยดังกล่าวทำให้เราจัดตั้งศูนย์ฝึกสุนัขขึ้นมา ซึ่งขณะนี้ทางเรามีสุนัขอยู่ 17 ตัว รวมถึงเจ้า "ทิงเกอร์" ด้วย บางตัวอยู่ระหว่างขั้นตอนการฝึก ส่วนตัวที่ผ่านหลักสูตรสามารถตรวจจับอาการเบาหวานได้ดีแล้ว จะถูกจับให้สวมเสื้อสีแดง สัญลักษณ์ ของสุนัขที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ ที่มีข้อความว่า "Diabetic Hypo-Alert Dog" และจะถูกส่งให้ไปอยู่กับผู้ป่วยโดยเฉพาะเด็กๆที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานขั้นรุนแรง

อย่างไรก็ตาม นางเกสกล่าวเสริมว่า ตนหวังว่าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์จะนำงานวิจัยของสถาบันตนไปพัฒนาอุปกรณ์ "จมูกอิเล็กทรอนิกส์" เครื่องมือดมแยกแยะกลิ่นเลียนแบบสุนัข ที่ความสามารถยังล้าหลังอยู่ประมาณ 15 ปี ให้ประสบความสำเร็จ เพื่อที่เพื่อนยากของเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากอีกต่อไป.

วีรพจน์ อินทรพันธ์

จี้รัฐเอาจริงแก้ปัญหาน้ำเมา โดยรอบสถานศึกษา

ปธ.กมธ.การศึกษาจี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดโซนนิ่งให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะห้ามไม่ให้มีการขายในร้านค้าที่เป็นหอพักนักศึกษา หรือบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัย ...

นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา กล่าวว่า ตนขอเรียกร้องรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการคลัง เข้ามาแก้ไขปัญหาการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างจริงจัง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้กวดขันป้องปรามและจับกุมอย่างจริงจัง ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็เป็นกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากเพิกเฉยต่อปัญหาจะถือว่าละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่

ทั้งนี้ นายสิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงการคลังต้องกำชับกรมสรรพสามิต ให้เข้มงวดเรื่องการออกใบอนุญาตให้ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่สำคัญรัฐบาลควรจะจัดโซนนิ่งให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย รมว.สาธารณสุขในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีออกมาตรการจำกัดพื้นที่การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะห้ามไม่ให้มีการขายในร้านค้าที่เป็นหอพักนักศึกษา หรือบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัย ทั้งขอเรียกร้องให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยทุกแห่ง อย่ามัวแต่สนใจภารกิจในการผลิตนิสิตนักศึกษาอย่างเดียว จนละเลยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

สุขได้เมื่ออยู่กับรูมาตอยด์

ไร้โรคาพาร่ำรวย
นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการจัดงานสัมมนาเรื่อง "อยู่อย่างเป็นสุขกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์"ที่ ร.พ.ราชวิถีมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากถึง 600-700 คน

ในงานมีกิจกรรมหลายอย่าง ตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องสถานการณ์ของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในปัจจุบัน และนวัตกรรมใหม่ในการรักษา มีกิจกรรมแนะนำการลีลาศกับจังหวะเบาๆ ในสไตล์ที่น่าลองั้จนถึงช่วงก่อนเที่ยงที่เป็นการเสวนาเรื่อง อยู่อย่างเป็นสุขกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยมี คุณสายสวรรค์ ขยันยิ่งเป็นผู้ดำเนินรายการมีการพูดคุยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และคู่ชีวิตนอกจากนี้ ยังมีดารารับเชิญเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ที่มีคุณแม่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ผมเองก็ได้มีโอกาสร่วมการเสวนาด้วยในฐานะแพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

การเสวนาครั้งนี้มีข้อคิดและเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ครอบครัว รวมทั้งญาติของผู้ป่วยที่พอจะรวบรวมและสรุปได้ดังนี้

ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจก่อนว่า โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง ที่นอกจากจะทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับความเจ็บปวดและทรมานจากอาการปวดข้อข้ออักเสบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานแล้วการอักเสบของข้อที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ยังทำให้เกิดความพิการข้อนิ้วมือข้อมือบิดเบี้ยว ผิดรูปผิดร่าง จนไม่สามารถใช้มือประกอบอาชีพหรือใช้งานในชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังจากที่เป็นโรคมาประมาณ 5 ปีผู้ป่วยร้อยละ 40จะไม่สามารถประกอบอาชีพการงานได้ กลายเป็นภาระต่อครอบครัวและสังคมดังนั้น ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จึงควรได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องโดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะเกิดความพิการขึ้นซึ่งก็ควรจะเป็นภายในเวลาก่อน 6 เดือนถึง 1 ปี หลังจากที่เริ่มมีอาการปวดข้อสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเมื่อสงสัยว่าจะเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ควรรีบไปพบแพทย์และถ้าจะให้ดีที่สุดควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อหรือที่เรียกแพทย์รูมาโตโลจิสต์ (Rheumatologist) อย่าไปเสียเวลาหรือเสียโอกาสทองในการรักษาไปกับการรักษาทางเลือก เช่น การรักษาด้วยยาหม้อยาลูกกลอน หรือยาสมุนไพรทั่วไป

เมื่อได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อย่าเพิ่งตกใจกลัวั้คนเรามักจะกลัวสิ่งที่เราไม่รู้จักดีดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ พยายามทำความเข้าใจและรู้จักโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ให้ดีที่สุด โดยพยายามถามหาข้อมูลจากแพทย์ที่ให้การรักษาให้มากที่สุดั้นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มเติมความเข้าใจได้จากแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เช่น สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย มีความเข้าใจหรือความเห็นเกี่ยวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์บางอย่างที่ควรได้รับการแก้ไข เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคที่รักษาไม่หายั้จริงๆ แล้วมีผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประมาณร้อยละ 10-20 ที่รักษาแล้วหาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้ที่โรคไม่ค่อยรุนแรงั้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องแล้วโรคจะค่อยๆ สงบลงั้แต่บางครั้งโรคอาจจะกำเริบขึ้นมาเป็นระยะได้เมื่อมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้นั้อย่างไรก็ตาม รักษาย่อมดีกว่าไม่รักษารักษาแล้วโรคสงบลงข้อไม่อักเสบั้ก็ไม่เกิดความพิการหรือไม่พิการเพิ่มขึ้น

ส่วนความเชื่อที่ว่า ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิตจริงๆ แล้วการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในระยะแรก ผู้ป่วยอาจจะต้องรับประทานยาหลายอย่างเพื่อรักษาและควบคุมโรคให้สงบลงรวมทั้งแก้ไขหรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น โลหิตจาง กระดูกพรุนแต่พออาการดีขึ้นแพทย์ก็จะค่อยๆ ลดขนาดและชนิดของยาต่างๆ ลงจนหยุดยาได้ในที่สุดไม่ต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต

สิ่งที่ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ต้องการคือกำลังใจและความเข้าใจจากผู้ใกล้ชิดคนในครอบครัว รวมทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหายและผู้ร่วมงานเพราะผู้ป่วยโรคนี้จะต้องต่อสู้กับโรคไปอีกเป็นเวลานานต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ สารพัดนอกจากนี้ สิ่งที่ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หลายคนใช้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคคือ หลักธรรมะ ทำให้จิตใจสงบลงมีความเข้าใจสภาพความเป็นไปของชีวิตและสิ่งที่เกิดขึ้นมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป

เมื่อมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์แล้วขั้นต่อมาคือหาทางที่จะต่อสู้กับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และต้องสู้ให้ถูกทางโดยการรับประทานยารักษาโรคตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัดไปติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัดปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ที่รักษา นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่จะช่วยให้หายจากโรคยังรวมถึงการทำให้สุขภาพของร่างกายโดยรวมแข็งแรงขึ้นด้วยการพักผ่อนให้พอเพียง และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอั้เพื่อเป็นการปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้น เป็นการช่วยแก้ไขภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติที่ทำให้เกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อีกส่วนหนึ่งั้การนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง โดยเป็นการนอนหลับสนิทอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่นอนหลับๆ ตื่นๆ จะช่วยให้โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์บรรเทาลง ตรงกันข้าม การนอนดึกั้นอนน้อยั้อดนอน นอนหลับไม่สนิทติดต่อกัน อาจทำให้โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์กำเริบขึ้นได้การออกกำลังกายที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นั้แก้ไขภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่กระทบกระเทือนข้อ เช่น การว่ายน้ำการปั่นจักรยานั้การรำมวยจีนการเล่นโยคะหรือแม้แต่การเต้นแอโรบิคบางท่าการออกกำลังกายที่มีการกระแทกกระทบข้อ เช่น การเล่นแบดมินตันการเล่นเทนนิสยกน้ำหนักไม่แนะนำนอกจากนี้ ควรออกกำลังกายในระยะที่โรคสงบไม่มีการอักเสบข้อในขณะที่มีการอักเสบของข้อ ควรพักการออกกำลังหรือพักการใช้งานข้อจนกว่าจะหายอักเสบ

มีภาวะบางอย่างที่ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ควรระวังตัวและปรับการใช้ชีวิตให้เหมาะสม เช่น ในระหว่างเวลาใกล้หรือกำลังมีประจำเดือนในสุภาพสตรี เพราะเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลงร่างกายอ่อนแอลงผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักจะมีอาการปวดข้อมีข้ออักเสบมากขึ้น หรือเกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีไข้ต่ำๆ ได้ในช่วงที่ภูมิอาการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาฝนตกหรืออากาศเย็นลงผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จะมีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบมากขึ้น หรือมีโรคกำเริบขึ้นได้เนื่องจากบริเวณข้อจะมีปลายประสาทรับความรู้สึกเกี่ยวกับความชื้นหรือความเย็นมากั้จึงทำให้ไวต่ออากาศที่เปลี่ยนแปลงั้ดังนั้น ในช่วงเวลาเหล่านั้นผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จึงควรมีกิจกรรมให้น้อยที่สุดพักการใช้งานข้อให้มากรวมไปถึงพยายามลดความเครียดทางร่างกายและจิตใจลง เนื่องจากความเครียดทางร่างกายและจิตใจก็ทำให้โรคกำเริบได้เมื่อไรที่มีงานหนักมีความกังวลใจั้ไม่สบายใจหรือพักผ่อนไม่เพียงพออดหลับอดนอนั้จะมีอาการปวดข้อข้ออักเสบมากขึ้นจะเห็นได้จากผู้ป่วยบางคนมีอาการกำเริบเวลาเปลี่ยนงานเปลี่ยนที่ทำงานมีปัญหาในครอบครัวทะเลาะกับแฟนหรือแม้กระทั่งในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะเห็นได้ว่ามีผู้ป่วยที่มีโรคกำเริบมากขึ้น ถ้าเป็นผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ยังอยู่ในวัยเรียน เวลาช่วงใกล้สอบเลื่อนขั้น หรือเปลี่ยนที่เรียนก็มักจะมีอาการปวดข้อ หรือข้ออักเสบเพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง ในช่วงอายุประมาณ 30-40 ปีซึ่งอยู่ในวัยที่กำลังจะแต่งงานหรือมีครอบครัวการป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ไม่เป็นอุปสรรคต่อการแต่งงาน สามารถแต่งงานได้นอกจากนี้ หลังจากแต่งงานแล้วก็สามารถมีลูกได้ การตั้งครรภ์จริงๆ แล้วเป็นผลดีกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในระหว่างตั้งครรภ์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักจะสงบลงปวดข้อน้อยลงเนื่องจากมีฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ออกมาช่วยกดภูมิคุ้มกันทำให้โรคดีขึ้นไปตลอดการตั้งครรภ์ รวมไปถึงในช่วงระยะหลังคลอดด้วยผู้ป่วยบางรายที่โรคไม่รุนแรงบางทีถึงกับโรคสงบไปไม่กลับมาเป็นอีกหลังคลอดก็มีแต่บางรายหลังคลอดสักระยะหนึ่งโรคอาจจะค่อยๆ เริ่มกลับมาอีก ก็เริ่มทำการรักษาต่อ

อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์สำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ที่ให้การรักษาอยู่เนื่องจากมียารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่เป็นยาปรับเปลี่ยนตัวโรคบางอย่างที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ ถ้าจะตั้งครรภ์จำเป็นต้องหยุดยาเหล่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น อาจจะ 3 เดือน หรือ 6 เดือนจึงจะอนุญาตให้ตั้งครรภ์ได้รวมไปถึงในช่วงหลังคลอดให้นมบุตรก็เช่นเดียวกัน ยาบางชนิดปลอดภัยกับเด็กั้บางชนิดให้ไม่ได้ในช่วงให้นมบุตรั้ดังนั้น ในระหว่างการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์บางครั้งผู้ป่วยจำเป็นต้องคุมกำเนิดเอาไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องได้รับยาปรับเปลี่ยนตัวโรคชนิดที่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์จริงๆจนกว่าโรคจะสงบลงจนหยุดยาได้เป็นเวลานานพอจึงตั้งครรภ์ได้

บางครั้งผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อาจจะได้รับคำแนะนำจากคนรอบข้าง ซึ่งบางอย่างก็เป็นคำแนะนำที่ดี แต่คำแนะนำบางอย่างก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก เช่น ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ควรละเว้นการรับประทานสัตว์ปีก พวก เนื้อเป็ด ไก่ หรือเครื่องในสัตว์เพราะจะทำให้โรคกำเริบ จริงๆ แล้ว การงดเว้นอาหารเหล่านี้เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าต์ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการอักเสบในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ไม่จำเป็นต้องงดเว้นอาหารชนิดใด ตรงกันข้าม ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรงั้

ส่วนคำแนะนำที่ว่า อย่ารับประทานยานานๆ เพราะจะมีผลต่อตับ ไตจริงๆ แล้วก็มีส่วนจริง แต่สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ซึ่งเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจจะต้องรับประทานยาปรับเปลี่ยนตัวโรคที่จะช่วยปรับภูมิคุ้มกันไปเป็นระยะเวลาหลายปีโดยมีการปรับลดหรือเพิ่มยาตามความรุนแรงหรือการกำเริบของโรคในขณะนั้นแพทย์ที่ให้การรักษาจะมีการติดตามผลข้างเคียงของยาที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่แล้ว เช่น มีการตรวจหน้าที่ของตับ ไตมีการตรวจตามีการเอ็กซเรย์ปอดรวมทั้งติดตามปริมาณเม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว เป็นระยะตามความเหมาะสมอยู่แล้วผู้ป่วยไม่ควรไปลดยาเองหรือหยุดยาบางชนิดเองั้เพราะกลัวผลข้างเคียงในกรณีที่มีอาการผิดปกติอะไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาอยู่

ถึงแม้โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จะทำให้เกิดความเจ็บปวดข้อเกิดความทุกข์ทรมานเกิดความพิการแต่ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง มีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ป้องกันความพิการที่จะเกิดขึ้นมีการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง มีความเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อการเจ็บป่วยแล้วผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้คนทั่วไปคือยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขถึงแม้ต้องอยู่กับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คอนกรีตขี้เถ้ชานอ้อย สูตรประหยัดแต่แข็งแรง


ดร.สำเริง รักซ้อน

ในเชิงภูมิศาสตร์...พื้นที่ประเทศไทย กลายเป็นผู้ได้เปรียบหลายๆประเทศ เนื่องจากเหมาะแก่ การทำเกษตรมากที่สุดแห่งหนึ่ง และด้วย ทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ นี้เอง ทำให้ผลผลิตทางเกษตร เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ฯลฯ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก

แต่ในทางกลับกันกระบวนการผลิต ก็มักมี สิ่งเหลือทิ้ง จากภาคเกษตรกรรม เช่น เถ้าแกลบ และ ชานอ้อย ซึ่งสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนข้างเคียงได้ไม่น้อยเช่นกัน

ดังนั้น ดร.สำเริง รักซ้อน อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) จึงใช้เถ้าแกลบและชานอ้อยที่เหลือทิ้ง มาเสริมในงานคอนกรีต เพื่อต้อง การศึกษาและพัฒนาใช้ เป็นวัสดุซีเมนต์ไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดความมั่นใจแก่อุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ทั้งยังช่วยลด ปัญหามลพิษและปัญหาสิ่งแวดล้อม


ดร.สำเริง เผยว่า แกลบ และ ชานอ้อย เป็นผลผลิตจากเกษตรกรรมที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย และมีการนำไป ใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า และ ได้ส่วนที่เหลือเป็นเถ้าแกลบและเถ้าชานอ้อย เถ้าทิ้งทั้งสองสามารถนำมาทำเป็นสาร ปอซโซลาน ได้ เนื่องจากมี สารจำพวกซิลิกา และ อลูมินา ปนอยู่ ซึ่งสารเหล่านี้จะ ทำปฏิกิริยาเพิ่มเติมจากปฏิกิริยาไฮเดรชัน ทำให้ความแข็งแรงของคอนกรีตเพิ่มขึ้น

...เมื่อนำเถ้าแกลบและเถ้าชานอ้อยมาปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพให้เหมาะสม โดยการบดให้มีขนาด อนุภาคลดลงด้วยเครื่องบด เมื่อนำไปผลิตเป็นวัสดุประสาน จะทำให้ได้วัสดุที่มีโครงสร้างที่แข็งแรง มีลักษณะเหมือนปูนซีเมนต์ สามารถนำไปใช้ในงานคอนกรีตได้ ช่วย ลดปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ลดพื้นที่การกำจัดทิ้งเถ้าแกลบ และการนำวัสดุเถ้าแกลบกับชานอ้อยมาผสมในกระบวนการผลิตคอนกรีตจะเกิด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยมาก...!!!
ดร.สำเริง เล่าถึงขั้นตอนการผลิตคอนกรีตว่า เริ่มจาการนำ เถ้าแกลบบด และ เถ้าแกลบชานอ้อยบดละเอียด แทนที่ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ประเภทที่ 1 ในอัตราส่วนร้อยละ 10-20 และ 30 โดยน้ำหนักวัสดุประสานใช้ทรายและหินในงานคอนกรีตทั่วไป เนื่องจากหาได้ง่ายใช้ อัตราส่วนของน้ำต่อวัสดุประสานคงที่เท่ากับ 0.50 โดย ควบคุมค่าความข้นเหลว ด้วยสารลดน้ำพิเศษหล่อเป็นคอนกรีต ในแบบหล่อขนาด 100-100-100 มิลลิลิตร (ตามมาตรฐาน) หลังจากหล่อคอนกรีต 24 ชั่วโมง แล้วจึง ถอดแบบบ่มในน้ำสะอาด


จากนั้นนำมาทดสอบใช้ตัวอย่างทดสอบชนิดละ 3 ก้อนตัวอย่างทดสอบ เพื่อหาค่าเฉลี่ยของกำลังอัดส่วนผสมของคอนกรีตจาก เถ้าแกลบ และ เถ้าชานอ้อย พบว่า เทียบเท่ากับคอนกรีตที่ใช้ปูนซีเมนต์ธรรมดา ซึ่งสามารถใช้ผลิตเป็นคอนกรีตในโครงการก่อสร้างได้ และ หากมีการพัฒนาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง อาจให้ค่ากำลังที่สูงกว่าคอนกรีตธรรมดาจากปูนซีเมนต์

สำหรับต้นทุนในการผลิตราคาถูก เพราะใช้วัสดุที่เหลือทิ้งหรือหาได้ทั่วไป ผู้สนใจคอนกรีตเถ้าแกลบและเถ้าชานอ้อย สอบถามเพิ่มเติมที่ดร.สำเริง 08-7945-4133 เวลาราชการเหมาะสมที่สุด.



ตัดต่อชิ้นส่วน 'งูหัวคน' ศีรษะคล้ายลิง


นักวิชาการ เชื่อสัตว์ประหลาด 'งูหัวคน' ใช้วิธีการตัดต่อชิ้นส่วน ระบุ หัวคล้ายกลุ่มลิงทามาริน หรือ ลิงมาโมเซ็ต จากอเมริกาใต้ ขอให้ ประชาชนใช้วิจารณญาณในการพิจารณา ...

จากกรณีมีการเผยแพร่คลิปสัตว์ประหลาด 'งูหัวคน' พบใบหน้ามีลักษณะคล้ายคนแก่ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมยาวสีทอง มีแขน 2 ข้าง นิ้วมือเหมือนมนุษย์ ส่วนลำตัวคล้ายงู ยาวประมาณ 3 เมตร และ มีเกล็ดคล้ายงูเหลือมนั้น ล่าสุดวันนี้ (22 มิ.ย.) รศ.ดร.สมโภชน์ ศรีโกสามาตร ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. เปิดเผยว่า เคยพบคลิปดังกล่าวเผยแพร่ในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา และประเทศไทย โดยขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากที่เห็นภาพงูหัวคนในหลาย แหล่งที่มา พบว่าในส่วนของแขนมีการวางตำแหน่งต่างกัน แต่โดยรวมเชื่อว่าเป็นตัวเดียวกัน และ นำชิ้นส่วนของซากสิ่งมีชีวิตอย่างน้อยสองชนิดมาประกอบกัน

“ส่วนหัวที่เชื่อว่าเหมือนคน สันนิษฐานเบื้องต้นว่ามาจากกลุ่มลิง เพราะลิงเป็นสัตว์กลุ่มเดียวกับคน มีหน้าตาคล้ายคนเพราะส่วนของเบ้าตาเข้ามาประกบชิดกัน” รศ.ดร.สมโภชน์ กล่าว และว่า ภาพที่ปรากฏเป็นภาพสามมิติ ต่างจากสัตว์ทั่วไปที่เบ้าตาจะห่างกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ เมื่อดูในส่วนของจมูกของสัตว์ในภาพ จะเห็นว่ามีลักษณะยื่นเล็กน้อยเหมือนสัตว์ดมกลิ่น เช่น ลิง ไม่เหมือนของคน ส่วนซากของลิงที่นำมาตัดต่อได้นั้น น่าจะเป็นลิงขนาดเล็ก ได้แก่ กลุ่มลิงทามาริน หรือ มาโมเซ็ต เนื่องจากเป็นลิงขนาดเล็กคล้ายกระรอก มีขนยาวคล้ายผม และบางชนิดมีขนบริเวณปากมองดูเหมือนหนวดเครา และเมื่อพิจารณาจากสัตว์ประหลาดในภาพที่มีผมยาวสีทอง หากไม่มีการย้อมสี ก็อาจจะเป็นลิงทามารินหน้าสิงโตสีทอง (Golden Lion Tamarin) ที่มีขนฟูยาวสีทอง คล้ายสิงโต ซึ่งเมื่อตายก็อาจจะกลายเป็นซากสิ่งมีชีวิตที่เหมือนสัตว์ประหลาดดังกล่าวได้เช่นกัน จึงเชื่อว่าซากที่นำมาใช้น่าจะเป็นลิงทามารินชนิดอื่นๆ หรือ กลุ่มลิงมาโมเซ็ต มากกว่า

รศ.ดร.สมโภชน์ กล่าวด้วยว่า ลิงทามาริน และลิงมาโมเซ็ต เป็นลิงจากอเมริกาใต้ แต่มักส่งมาเลี้ยงตามสวนสัตว์ต่างๆ ในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยสามารถดูได้ในสวนสัตว์บางแห่ง อีกทั้งในบางพื้นที่ มีการลักลอบค้าสัตว์ป่า สามารถพบสัตว์กลุ่มนี้ได้เช่นกัน ทั้งนี้จากการคาดเดาเบื้องต้นเท่านั้น เพราะยังไม่เห็นตัวจริง แต่หากมีการแสดงของจริงยืนยัน ทีมนักวิชาการเองพร้อมที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด โดยหากเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ คงฮือฮาทั่วโลก แต่จากความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน คงยืนยันได้ว่าไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตลักษณะเช่นนี้ได้

ด้าน ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซากดึกดำบรรพ์ และ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี และที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. กล่าวว่า น่าจะเป็นการนำซากสิ่งมีชีวิตหลายชนิดมาปนกัน ซึ่งที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกันนี้มาแล้ว โดยสมัยก่อน มีการอ้างว่าพบช้างน้ำขนาดเล็ก ที่มีลักษณะเหมือนช้างทุกส่วน มีเนื้อ หนัง ขน ตา งา บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า เป็นการนำซากสิ่งมีชีวิตหลายชนิดมาประกอบตกแต่งขึ้น ซึ่งกรณีตัวประหลาดนี้ อาจเป็นไปได้ เช่นเดียวกัน อีกทั้งข้อสังเกตต่อคำร่ำลือเกี่ยวกับบริเวณที่พบ มักเป็นสถานที่ลึกลับเข้าถึงยาก ทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยากเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีประชาชนที่ได้รับข่าวสาร เมื่อดูแล้วก็ต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาว่าสิ่งใดจริงหรือไม่

สาธารณสุขยกเลิก "บัตรทอง"


นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ รัฐบาล จะยกเลิกการใช้บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง โดยประชาชนสามารถ ใช้บัตรประจำตัวประชาชนบัตรเดียว เข้ารับการรักษาตามสิทธิในโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินโครงการในการใช้บัตรประจำตัวประชาชนแทนบัตรทองมาแล้ว 37 จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ใน 13 จังหวัด และ 1 มิ.ย. อีก 24 จังหวัดและในเดือน ต.ค.นี้ จะนำร่องใน 8 จังหวัด ให้ใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใดก็ได้ภายในจังหวัดนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิประกันตนที่ระบุในแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้ได้ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ สปสช. ดูความพร้อม ของแต่ละโรงพยาบาลและพิจารณางบประมาณ ก่อนดำเนินการใช้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ส่วนปัญหาที่มีการร้องเรียนเข้ามามากในช่วง วิกฤติเศรษฐกิจว่า มีการเวียนเข้า-ออกโรงพยาบาลหลายๆครั้งเพื่อนำยามาขายต่อ นายวิทยากล่าวว่า ได้ กำชับให้ สปสช. คิดและหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิด ปัญหาดังกล่าวแล้ว.

เศรษฐินีโสมขาวประกาศหาคู่มีหนุ่มแห่สมัครเพียบ


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (17 มิ.ย.) ว่า ซูนู บริษัทจัดหาคู่ชื่อดังของเกาหลีใต้ เผยว่า มีหนุ่มเกาหลีใต้เกือบ 400 คน แห่สมัครแต่งงานกับเศรษฐินีคนหนึ่งที่ลงโฆษณาหาคู่ทางอินเทอร์เน็ต โดยมีผู้สมัครเพียง 8 คนเท่านั้นที่จะได้รับคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้าย

ซูนู ระบุว่า สตรีเกาหลีใต้วัย 49 ปีคนหนึ่งซึ่งอ้างว่า มีทรัพย์สินมากถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 612 ล้านบาท) ลงโฆษณาหาคู่ทางอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. 2552 และได้รับความสนใจจากชายหนุ่มอายุระหว่าง 26-49 ปี มากถึง 394 คน ซึ่งมีอาชีพต่างๆ กัน อาทิ แพทย์ ทนายความ นักบัญชี ทหาร และลูกจ้างรัฐ

ทั้งนี้ โฆษกบริษัทซูนู กล่าวว่า สาเหตุที่เศรษฐินีคนนี้ต้องพึ่งบริการจัดหาคู่ เนื่องจากการเป็นนักธุรกิจทำให้เธอยุ่งเกินกว่าจะมีเวลาหาสามีด้วยตนเอง เบื้องต้นบริษัทเปิดรับสมัครชายหนุ่มจนถึงสิ้นเดือนนี้ แต่หลังจากข่าวแพร่สะพัดออกไปจนทำให้เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน เศรษฐินีผู้นี้จึงขอให้ปิดรับสมัครลงวานนี้ (16มิ.ย.) โดยเธอได้เลือกชายหนุ่ม 8 คน อายุระหว่าง 37-49 ปี มีทั้งลูกจ้างบริษัท ครู และพนักงานธนาคาร เข้าสัมภาษณ์ และคาดว่าเธอจะนัดพบกับหนุ่ม ๆ เหล่านี้เดือนละ 2-3 คน ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ดี ว่าที่เจ้าสาวรายนี้ต้องการเจ้าบ่าวที่มีคุณสมบัติธรรมดาๆ แต่เป็นคนจริงจัง ไปจนถึงผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง ซึ่งมีความกระตือรือร้นในชีวิต และพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอ

พิลึกปลาเห่าได้ เสียงเหมือนหมา ตกได้ที่มาเลย์


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (19 มิ.ย.) ว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านจ.กำแพงเพชรว่า มีปลาแปลกประหลาด เป็นของนายขันทอง คำหงส์ อายุ26 ปี ที่เลี้ยงไว้ในอ่าง โดยมีหัวเหมือนปลาช่อน ตัวกลมยาวเหมือนปลาไหล ลำตัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ2 นิ้ว มีครีบ 2 ข้างเหมือนครีบปลาช่อนที่ข้างหู ด้านหลังมีครีบและหางคล้ายปลาดุก ตาสีฟ้า ผิวหนังด้านหลังสีน้ำตาล ใต้ท้องสีเหลืองทอง ฟันคมเต็มปาก

นายขันทอง กล่าวถึงที่มาของปลาประหลาดตัวนี้ว่า ได้มาจากประเทศมาเลเซีย เมื่อ4 ปีก่อน มีอยู่วันหนึ่งได้ออกไปปักเบ็ดหาปลา ปลาตัวนี้มากินเบ็ดตนจึงจับได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นปลาไหล แต่เมื่อสังเกตดูแล้วมีความต่างหลายแห่ง ลักษณะเหมือนปลาหลายชนิดมาผสมรวมกัน จึงได้เลี้ยงไว้ดูเล่น หลังจากที่หมดสัญญาการทำงานก็นำกลับบ้าน และตั้งชื่อว่าเจ้าไมค์ เลี้ยงได้ 4 ปีแล้ว ส่วนการให้อาหาร จะเป็นจำพวกลูกปลา เนื้อไก่ หรือตับไก่

"ตอนที่นำมาเลี้ยงใหม่ๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่า มีปลาประหลาดมา ต่อมาคนเริ่มสงสัยว่า ในเวลากลางคืนที่บ้านจะมีเสียงหมาเห่า ทั้งๆที่ไม่ได้เลี้ยงหมาไว้แม้แต่ตัวเดียว บางครั้งเดินผ่านหน้าบ้านก็จะมีเสียงเห่าออกมาจากอ่างน้ำ ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่า เป็นผีจึงพากันหวาดกลัว แต่ต่อมาคนก็เริ่มรู้และพากันมาดู” นายขันทอง กล่าว และว่า เจ้าไมค์จะเห่าแต่เฉพาะเวลากลางคืน โดยก่อนจะเห่าจะชูคอขึ้นมาพ้นน้ำประมาณ4 นิ้ว แล้วจึงส่งเสียงเห่าบางคืนเห่าติดต่อกันหลายครั้ง แต่บางคืนก็ไม่เห่า และเวลาที่ถูกรบกวนจากคนดู ปลาตัวนี้จะแผ่แม่เบี้ยเหมือนงูเห่า ถ้าใครเอานิ้วจุ่มลงไปในน้ำปลาตัวนี้จะกัดทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับเจ้าของสามารถจับเจ้าไมค์มาเล่นได้โดยไม่มีท่าทีดุร้าย แถมยังจับมาเล่นบนพื้นได้เป็นเวลานาน ซึ่งปลาตัวนี้ไม่มีเหงือกสามารถอยู่บนบกได้อยู่ในน้ำก็ได้

ขณะที่นางประนอม สาบเสือ อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน กล่าวว่า เคยเห็นเจ้าไมค์เห่ามาหลายครั้งแล้ว เสียงเหมือนเสียงของลูกหมา เวลาเห่าจะชูคอขึ้นมาพ้นน้ำเห่าเสียงดัง คนที่มีบ้านอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรยังได้ยินเสียงเห่าของเจ้าไมค์จนคุ้นเคยแล้ว

หลวงปู่เพียร วิริโย มรณภาพแล้ว



คณะศิษย์จัดงานรดน้ำศพหลวงปู่เพียร วิริโย แห่งวัดป่าหนองกอง หลังมรณภาพช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พร้อมเตรียมจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ



หลวงปู่เพียร วิริโย แห่งวัดป่าหนองกอง ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ได้มรณภาพแล้ว เมื่อเวลา 01.30 น. วันนี้ (23 มิ.ย.) ด้วยโรคหัวใจ และมะเร็งปอด สิริรวมอายุได้ 83 ปี 61 พรรษา คณะศิษย์ และนายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี จึงได้จัดพิธีรดน้ำศพ ที่ศาลาวัดป่าหนองกอง โดยนายอำนาจ กล่าวว่า ในวันที่ 4 ก.ค. ได้กำหนดให้เป็นวันพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจะมีตนเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ส่วนประธานฝ่ายสงฆ์ คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อ.เมืองอุดรธานี

สำหรับหลวงปู่เพียร วิริโย เกิดเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2469 ที่บ้านสีฐาน ต.กระจาย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันคือ จ.ยโสธร ได้บรรพชาเป็นสามเณร ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2490 ที่วัดป่าสีฐาน กระทั่งอายุได้ 22 ปี จึงอุปสมบทที่วัดป่าสีฐาน และได้นามฉายาอันเป็นมงคลว่า "วิริโยภิกขุ"

ต่อมาหลวงปู่เพียร วิริโย ได้ออกเดินธุดงค์ไปตามภูเขา จนได้พบกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งอยู่ปฏิบัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร จนกระทั่งหลวงปู่มั่นมรณภาพ หลวงปู่เพียร วิริโย จึงติดตามหลวงตามหาบัว มาสร้างวัด ที่วัดป่าบ้านตาด ต่อมาได้ออกธุดงค์ไปพบสถานที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงได้สร้างวัดป่าหนองกอง และอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้ กระทั่งอาพาธเมื่อปี 2549 ด้วยโรคหัวใจ และมะเร็งปอด ก่อนที่มรณภาพช่วงกลางดึกที่ผ่านมา

รู้ไว้ได้ประโยชน์จากฉลากน้ำมันเครื่อง


รู้ไว้ได้ประโยชน์จากฉลากน้ำมันเครื่อง
น้ำมันหล่อลื่นเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตมีการออกสินค้าใหม่ๆ มาจำหน่ายอยู่เสมอ แต่ในยุคที่ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นสวนทางรายได้
้ผู้บริโภคที่ลดลง ก็กลายเป็นช่องว่างให้ธุรกิจผิดกฎหมายเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจน้ำมันเถื่อน และน้ำมันหล่อลื่นปลอม หลายคนพยายามที่จะหาทางพิสูจน์ว่าน้ำมันนั้นเป็นของแท้ หรือของปลอม ซึ่งอาจดูด้วยสายตา โดยการดูสี ดูความใส บางทีใช้วิธีสัมผัสทดสอบความเหนียว แต่ในความเป็นจริงแล้วการพิสูจน์ว่าเป็นน้ำมันคุณภาพต่ำหรือไม่ ต้องตรวจสอบโดยเครื่องมือในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ซึ่งก่อนจะพิสูจน์ผู้บริโภคก็จ่ายเงินซื้อน้ำมันเหล่านี้ไปแล้ว สำหรับน้ำมันเครื่องปลอมวิธีที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหาย ได้ในเบื้องต้นนั้น ผู้บริโภคควรสังเกตฉลากเป็น สิ่งแรกก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ซึ่งนอกจากการสังเกตเลขทะเบียน ทค. แล้ว ควรจะพิจารณารายละเอียดอื่นๆ ประกอบด้วย ดังนี้
1. ประเภทสินค้า ต้องสามารถแสดงให้เข้าใจได้ว่าสินค้านั้นคืออะไร เมื่อต้องการซื้อน้ำมันเครื่องก็ต้องมีการระบุว่า เป็นน้ำมันเครื่องยนต์จริง ไม่เลี่ยงไปใช้ข้อความอื่น เช่น น้ำมันเอนกประสงค์ น้ำมันมัลติเกรด น้ำมันหล่อลื่นงานเบา นอกจากนี้ต้องมีการแสดงชนิดความหนืด SAE และชั้นคุณภาพด้านการใช้งานควบคู่กันไป ส่วนใหญ่จะเป็นมาตรฐาน ประเทศสหรัฐอเมริกา (API) นอกจากนี้ยังมีการแสดง มาตรฐานอื่นๆ อีก ได้แก่มาตรฐานของทวีปยุโรป (ACEA) มาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น (JASO) มาตรฐานเครื่องยนต์อื่นๆ เช่น เมอร์ซิเดส เบนซ์ (MB) หรือวอลโว่ ( VDS) เป็นต้น และมาตรฐาน GLOBAL DHD ซึ่งจัดทำขึ้นโดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้บ้างแล้ว
2. สถานที่ตั้งของผู้ผลิตเพื่อขาย หรือผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่าย ต้องมีแสดงไว้อย่างชัดเจนในฉลาก ผู้ผลิตหรือ ผู้จำหน่ายบางรายมีการแสดงหมายเลขโทรศัพท์ไว้ด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ทั้งนี้เมื่อเกิดปัญหาจากการใช้น้ำมัน ผู้บริโภคก็สามารถติดต่อสอบถามหรือร้องเรียนได้ น้ำมันที่ไม่มีการระบุสถานที่ผลิต นั้นมักต้องการเลี่ยงกฎหมาย เพื่อไม่ให้มีการติดตามตรวจสอบคุณภาพ การสืบหาแหล่งปลอมปนทำได้ยากขึ้น และการที่จะสืบหาข้อมูลจากร้านค้าที่จำหน่ายนั้น มักจะไม่ค่อยได้ผล เพราะส่วนใหญ่ซื้อจากรถเร่และซื้อโดยไม่มีใบเสร็จรับเงิน นอกจากนี้ยังมีแรงจูงใจที่จะให้ร้านค้า ซื้อสินค้าเหล่านี้มาจำหน่าย เนื่องจากซื้อในราคาถูกและมาขายได้กำไรดี เนื่องจากยังมีความต้องการซื้อจากผู้บริโภคอยู่
3. ราคา ตามกฎหมายฉลากกำหนดต้องให้ระบุราคาไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ผู้ขายค้ากำไรเกินควร ซึ่งผู้บริโภคจะต้องพิจารณาเลือกใช้ให้ถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด และควรเปรียบเทียบราคากับน้ำมันชั้นคุณภาพเดียวกัน ในท้องตลาด เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่าย ซึ่งน้ำมันเครื่องที่มีราคาสูง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคุณภาพเหมาะสมกับรถของท่านเสมอไป และไม่ควรซื้อน้ำมันเพราะแรงจูงใจในเรื่องของราคาเพียงอย่างเดียว
4. ยี่ห้อ หลายคนซื้อน้ำมันเครื่องโดยเน้นยี่ห้อดังและเป็นที่รู้จัก ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับน้ำมันเครื่องปลอม แต่อย่างไรก็ตามก็ควรจะพิจารณาตามรายการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นประกอบด้วย และผู้บริโภคไม่ควรซื้อตามคำแนะนำของผู้ขาย เพียงอย่างเดียว ควรอ่านข้อความในฉลากควบคู่ไป
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาผู้บริโภคก็ยังประสบปัญหาการหลอกลวงอยู่ คือผู้ปลอมปนจะรับซื้อภาชนะบรรจุเก่า มาบรรจุใหม่ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตได้ บริษัทผู้ผลิตที่ถูกปลอมปนสินค้าก็พยายามหาทางป้องกันสินค้าของตนเช่นกัน โดยการใช้ฟอยล์และฝาที่มีลักษณะพิเศษซึ่งจะทำให้การนำภาชนะเก่ามาบรรจุได้ยากขึ้น ดังนั้นอีกวิธีหนึ่งที่ผู้บริโภคจะป้องกันตัวเองได้ ก็ให้ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายของบริษัทโดยตรง หรือร้านค้าที่ไว้ใจได้ หรือถ้าไม่ได้ซื้อจากร้านค้าประจำก็ควรขอใบเสร็จรับเงิน และเก็บไว้จนกว่าท่านจะมั่นใจว่าน้ำมันเครื่องที่ซื้อมาใช้นั้นจะไม่ก่อให่เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์
ปัญหาน้ำมันเครื่องปลอมเป็นปัญหาที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขทั้งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ร้านค้าผู้จำหน่าย รวมถึงต้องอาศัยความร่วมมือ
จากผู้บริโภคที่จะต้องช่วยกันปกป้องสิทธ์ของตนด้วย หลีกเลี่ยงการซื้อน้ำมัน ที่มีลักษณะไม่ถูกต้องเพื่อตัดช่องทางการจำหน่ายของผู้ปลอมปน